วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

จับดีมีดวงตาเห็นธรรม

เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ควรมีเป้าหมายชีวิตให้กับตนเอง ถึงแม้จะเป็นเป้าหมายระยะสั้น หรือไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่น ก็ควรมีเอาไว้ ขอเพียงแต่ให้เป้าหมายนั้นเป็นไปเพื่อบุญกุศล เพื่อให้ได้สวรรค์และนิพพาน สำหรับเป้าหมายของนักสร้างบารมีพันธุ์รื้อวัฏฏะ คือ จะมุ่งสร้างบารมีทุกรูปแบบ ทุกเวลานาที เพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เมื่อมีเป้าหมายแล้วต้องพยายามทำให้สำเร็จ แม้จะใช้เวลานานเพียงใด จะมุ่งมั่นทำเป้าหมายให้กลายเป็นจริง การมีเป้าหมายจะทำให้ชีวิตมีความหวัง เมื่อชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง จะทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เมื่อรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า จิตใจจะมีความสุขตามไปด้วย ชีวิตที่มีคุณค่า คือ ชีวิตที่เกิดมาแล้วได้สั่งสมบุญกุศลอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในเถรคาถาปทาน ความว่า

คนมีปัญญาน้อย คิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากพระสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินที่อยู่ไกลกัน คนมีปัญญาน้อย คิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น”

การคอยจ้องจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่น แล้วนำมาวิจารณ์ให้คนอื่นทราบ ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ เป็นการมองโลกในแง่ร้าย เหมือนมีผ้าห่มผืนใหญ่เอาไว้ใช้ห่มกันหนาว มีรอยด่างดำ เพียงนิดเดียว มัวแต่สนใจจุดดำและนำมาตำหนิ ส่วนข้อดีของผืนผ้าที่สามารถนำมาห่มกันหนาวได้นั้น ไม่ได้พูดถึงเลย หรืออ่านหนังสือเล่มใหญ่ ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ มีประโยชน์และควรจดจำมากมาย แต่กลับไปจำตรงที่มีการพิมพ์ตกหล่นเพียงไม่กี่คำ อย่างนี้เป็นต้น การจับผิดไม่เคยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงไป ใจจะไม่ใส เพราะใจเห็นแต่ของเสียๆ บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านสอนให้มองโลกในแง่ดี ให้จับเอาข้อดีของคนอื่นมาสรรเสริญ คนอื่นมีคุณธรรมอะไร ให้นำมาพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป

เราควรหลีกเลี่ยงคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย เพราะหากอยู่ใกล้สิ่งใด มักจะมีแนวโน้มไปตามกลุ่มที่เข้าใกล้ เราต้องรู้จักเลือกคบหาสมาคมกับกลุ่มที่มีทัศนคติในการมองโลกที่ดีและเป็นบวก หากเรายังคงวนเวียน และคบค้าสมาคมกับผู้มองโลกในแง่ลบ ชีวิตเหมือนกับมีสิ่งที่คอยขัดขวางและกระชากลากถูให้คล้อยตามกลุ่มนั้น ชีวิตที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีวันที่จะมีความสุขได้ เราจึงต้องรู้จักหลีกเลี่ยงที่จะเสวนาและอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้ เพื่อจะได้ช่วยพยุงชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างมีความสุขในทุกๆ สถานการณ์

หลวงพ่อมีตัวอย่างของพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อ ยสทัตตะเถระ ก่อนบวช ท่านมีทิฐิมานะ คอยจ้องจับผิดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะอาศัยพระพุทธองค์ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตรให้ จึงเปลี่ยนนิสัยมาเป็นจับถูก แล้วนำคำสอนดีๆ นั้นมาผูกเข้าหากัน ทำให้ท่านหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

ในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระยสทัตตะเถระได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ หลังจากเรียนจบวิชาความรู้ของพราหมณ์แล้ว แทนที่จะใช้ชีวิตตามแบบฉบับของพราหมณ์ทั่วไป คือ การครองเรือน และเป็นเจ้าพิธีกรรมตามงานพิธีต่างๆ ด้วยความเป็นผู้มีปัญญา สามารถสอนตนเองได้ จึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤๅษี ตั้งใจประพฤติพรต บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านเป็นฤๅษีที่มักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย

ขณะบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพังนั้น ท่านได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระเสด็จเหาะผ่านมาทางอาศรม ดวงตาของท่านจ้องมองพระพุทธองค์ด้วยความปีติเลื่อมใส เพราะตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก ไม่เคยเห็นใครที่จะงดงามดังเช่นพระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ อีกทั้งพระรัศมีของพระพุทธองค์ก็สว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในการสั่งสมบุญ แทนที่จะมองด้วยความเลื่อมใสเพียงอย่างเดียว ท่านได้ประคองอัญชลีพนมมือสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ไปด้วย ด้วยบุญที่ท่านได้เห็นบุคคลอันเป็นสุดยอดแห่งทัสนานุตริยะ คือ ได้การเห็นอันประเสริฐ และบุญที่ได้สวดสรรเสริญพระพุทธองค์ด้วยความเคารพเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิเท่านั้น คือ ในเทวโลก และในมนุษยโลก ไม่เคยรู้จักทุคติเลย

เมื่อมาถึงยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลมัลละกษัตริย์ ในมัลลรัฐ มีชื่อว่ายสทัตตะ เมื่อถึงวัยเรียนรู้ ท่านได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้ที่เมืองตักกศิลา หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านไม่ได้ยินดีในความรู้เพียงเท่านั้น เพราะรู้ว่าในโลกนี้ยังมีความรู้ที่น่าศึกษาอีกมาก โดยเฉพาะความรู้ที่เป็นไปเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านยังแสวงหาไม่พบเลย จึงชักชวนปริพาชกชื่อว่าสภิยะ เที่ยวเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาครูเก่ง ครูดี

แล้วโอกาสทองของชีวิตในการเรียนรู้ครั้งสำคัญของท่านได้มาถึง เมื่อได้ข่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ท่านยสทัตตะกับปริพาชกสภิยะจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าทันที เพราะต้องการศึกษาความรู้อันบริสุทธิ์จากพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นไปเพื่อการบรรลุอมตนิพพาน เนื่องจากทั้งสองทราบว่า มีบัณฑิตนักปราชญ์พากันมากราบไหว้ และมอบตัวเป็นสาวกแทบทั้งเมือง

เมื่อยสทัตตะมาณพและสภิยะปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้า ได้ทูลถามปัญหากับพระพุทธองค์ โดยสภิยะปริพาชกเป็นผู้ถามปัญหา ส่วนยสทัตตะมาณพเป็นผู้คอยจับผิดคำตอบของพระพุทธองค์ ซึ่งทั้งสองได้นัดแนะกันเอาไว้ว่า แม้พระบรมศาสดาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน จะไม่ปักใจเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างง่ายๆ ต้องช่วยกันจับผิดในคำสอนนั้นเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าทุกคำถามที่สภิยะปริพาชกถาม ไม่มีคำตอบใดที่ยสทัตตะมาณพจะหาข้อบกพร่องได้เลย พุทธวิสัชนาแจ่มแจ้งชัดเจนทั้งเบื้องต้นท่ามกลาง และเบื้องปลาย เหมือนหงายของที่ควํ่า พอหงายก็รู้ว่าอะไรถูกครอบเอาไว้ เห็นได้หมด ถูกต้องและชัดเจน

พระพุทธองค์ทรงทราบแต่แรกแล้วว่า ทั้งยสทัตตะมาณพและสภิยะปริพาชก ต้องการจะทดสอบภูมิปัญญาของพระองค์ จึงเปิดโอกาสให้คนทั้งสองซักถามปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะพระองค์ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ ตั้งแต่สมัยที่อยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งธรรมทั้งปวง เป็นผู้ไร้ปัญหา มีแต่คำตอบซึ่งพร้อมเสมอที่จะไขข้อข้องใจของผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ครั้นทรงทราบว่าทั้งสองหมดปัญหาที่จะถามแล้ว จึงตรัสเตือนว่าการจ้องจับผิดวาทะของพระพุทธองค์นั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่การฟังโดยความเคารพเป็นเหตุให้ได้ปัญญา เพื่อการหลุดพ้นได้

เมื่อยสทัตตะมาณพรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบการกระทำของพวกตน จึงเกิดความอัศจรรย์ใจ จากเดิมที่มีความประทับใจในการตอบคำถามอยู่แล้ว ยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นก็รู้สึกละอายใจที่ตัวเองไม่รู้จักพุทธานุภาพ จากนั้นยสทัตตะมาณพได้ทูลขอบวช เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ท่านปรารภความเพียรอย่างเต็มที่ ไม่นานได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีชีวิตที่สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน ความสงสัยอันใดที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไปจากใจ

การฟังที่ดีนำไปสู่ปัญญาหลุดพ้น ถ้าจับดีจะมีดวงตาเห็นธรรม แต่ถ้าฟังแล้วจับผิดจะไม่เกิดประโยชน์อะไร แถมยังมีโทษอีกด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วปฏิบัติตามธรรม ชีวิตของเราจะสามารถพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นได้ โดยเราจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในตัวเราเองได้ ซึ่งการจะเห็นข้อดีของผู้อื่นและข้อบกพร่องของตนเอง แล้วสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราจะต้องหมั่นปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างสมํ่าเสมอ เพราะใจที่ใสๆที่ได้เข้าถึงธรรมะภายใน จะเห็นแต่ของใสๆ และมีพลังใจในการพัฒนากายและวาจาให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้เราดำเนินอยู่บนเส้นทางสวรรค์และพระนิพพานได้ตลอดไปทุกภพทุกชาติ

ไม่มีความคิดเห็น: