วันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

คุณวุฒิไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย

ช่วงอายุ หรือวัยของมนุษย์เป็นสัญลักษณ์ที่ให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ซึ่งมีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา แต่เรื่องคุณธรรม หรือความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย เราอาจจะเคยเห็นเด็กหลายๆ คนที่มีลักษณะของผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่บางคนทำตัวเหมือนเด็ก การวัดความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในทางพุทธศาสนานั้น นอกจากดูที่รูปร่างหน้าตาและวัยวุฒิแล้ว ยังต้องดูคุณวุฒิ คือ การได้บรรลุมรรคผลขั้นต่างๆ อีกด้วย ถ้าบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า แม้อายุยังน้อยก็ควรต่อการเคารพนับถือ เพราะถือว่าท่านเอาตัวรอดได้แล้ว คือ รอดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ ดังนั้น การฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง น้อมนำใจกลับเข้าสู่สภาวะที่สะอาดสงบสว่าง และบริสุทธิ์ภายใน ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา จึงเป็นเส้นทางสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง

มีธรรมภาษิตที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ซึ่งปรากฏในธรรมบทว่า

สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ สนฺตา วาจา จ กมฺม จ

สมฺมทญฺญา วิมุตฺตสฺส อุปสนฺตสฺส ตาทิโน

ใจของพระขีณาสพผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ผู้เข้าไปสงบวิเศษแล้ว ผู้คงที่ เป็นใจที่สงบ วาจาของท่าน ก็เป็นวาจาที่สงบ หรือการกระทำทางกายของท่าน ก็เป็นกายที่สงบเหมือนกัน”

เป้าหมายสูงสุดของการเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา คือ การได้ปฏิบัติธรรมจนสิ้นอาสวกิเลส ได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว ความคิด คำพูดและการกระทำจะสงบเสงี่ยมสง่างามตลอดเวลา อานุภาพของความสงบเสงี่ยมสง่างามของพระอรหันต์ จะส่งผลให้ผู้ได้พบเห็นพลอยสงบใจตามไปด้วย การเป็นผู้สงบอย่างนี้ ถือว่าสงบอย่างแท้จริง เพราะสงบจากกิเลส ได้พบพระรัตนตรัยภายใน และยังเป็นต้นแบบทำให้ผู้อื่นได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตอยู่ในวัฏสงสารด้วย

ในพุทธกาลมีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ ติสสะ ท่านอยู่จำพรรษาที่เมืองโกสัมพี พระเถระท่านนี้เป็นพระที่รักสงบ รักในการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะช่วงเข้าพรรษาของแต่ละปี ท่านจะตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษ ทำให้เป็นที่เคารพเลื่อมใสของผู้ได้พบเห็น นอกจากท่านจะรักในการทำความเพียรอย่างสมํ่าเสมอแล้ว ท่านยังเป็นพระที่ไม่สะสมอัฐบริขาร มีความมักน้อยสันโดษ ใครได้สนทนาธรรมด้วย ยิ่งก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก

ด้วยความรักในการปฏิบัติธรรมของท่าน ทำให้มีญาติโยมมาถวายภัตตาหารและเครื่องใช้มากมาย แต่ท่านไม่ได้ใส่ใจในลาภสักการะเหล่านั้น อุบาสกอยากได้บุญใหญ่จากท่าน สังเกตเห็นว่าพระเถระขาดสามเณรคอยอุปัฏฐาก จึงปรารภว่าจะให้ลูกชายบวชเป็นลูกศิษย์ พระเถระเองเห็นดีด้วย เพราะเห็นแววลูกชายอุบาสก เป็นเด็กที่รักในความสงบวิเวก และรักในการฝึกฝนอบรมตนเอง

อุบาสกปรารภเรื่องนี้ให้ลูกชายฟัง โดยเล่าความเป็นผู้มีบุญของผู้บวช และอยากให้ลูกบวชแทนพ่อ เพราะพ่อบวชไม่ได้ ยังมีภาระหลายอย่าง และเมื่อลูกบวชแล้ว จะได้อุปัฏฐากพระอาจารย์ เมื่อลูกชายได้ฟังแล้ว ก็ดีใจเพราะใจจริงอยากบวชอยู่แล้ว พอเตรียมผ้าไตรจีวรเป็นที่เรียบร้อย อุบาสกได้ชักชวนญาติพี่น้องมารวมกันที่วัด เพื่ออนุโมทนาบุญกับการบวชของลูกชาย

พระเถระได้สอนวิธีการทำสมาธิภาวนาแก่ลูกชายอุบาสก เมื่อให้โอวาทเสร็จก็ปลงผมให้ ขณะปลงผมใกล้จะเสร็จ นาคน้อยอายุเพียง ๗ ขวบก็ได้บรรลุธรรมกายอรหัต เป็นพระอรหันต์ในขณะปลงผมปอยสุดท้ายนั่นเอง เมื่อบวชแล้ว สามเณรได้ทำหน้าที่อุปัฏฐากพระเถระ โดยที่พระเถระเอง ก็ไม่รู้ว่าผู้ที่อุปัฏฐากนั้น เป็นถึงสามเณรอรหันต์

ครั้นผ่านไปประมาณ ๑๕ วัน หลังจากสามเณรบวช พระเถระอยากจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงพาสามเณรออกเดินทางไปวัดพระเชตวัน ระหว่างทางได้แวะพักที่วัดแห่งหนึ่ง การเข้าพักครั้งนี้ สามเณรเตรียมที่พักให้ตัวเองไม่ทัน เพราะวันนั้น มาถึงยามพลบคํ่า เพียงแค่ปัดกวาดเตรียมที่พักให้พระเถระ ยังแทบจะไม่ทัน พระเถระจึงให้สามเณรจำวัดในห้องเดียวกับท่าน สามเณรรู้ว่าระหว่างที่เดินทางมา ได้จำวัดอยู่ในห้องเดียวกับพระเถระครบ ๓ คืนแล้ว ถ้ายังจำวัดอยู่ในห้องเดียวกันอีก พระเถระจะต้องอาบัติอย่างแน่นอน คืนนั้น สามเณรจึงนั่งสมาธิคู้บัลลังก์ทั้งคืน

ครั้นจวนสว่าง พระเถระระลึกได้ว่า ได้จำวัดอยู่ห้องเดียวกันกับสามเณรครบ ๓ คืนแล้ว นี่เป็นคืนที่ ๔ ท่านจึงเอาพัดที่วางอยู่ข้างตัวเคาะเสื่อของสามเณร เพื่อให้สามเณรออกไปนอกห้อง แต่เนื่องจากไม่ได้พิจารณาให้ดี จึงทำให้ปลายพัดแทงโดนตาข้างหนึ่งของสามเณรแตก แม้สามเณรจะโดนพัดแทงจนตาแตกเลือดไหล ก็ไม่ได้ร้องโวยวาย รู้ว่าพระเถระให้ออกไปนอกห้อง จึงเอามือปิดตาเดินออกนอกห้องไป ท่านทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอฟ้าสางสามเณรทำกิจวัตรที่ได้ทำเป็นปกติทุกวัน คือ ปัดกวาดเสนาสนะ ตักน้ำดื่ม น้ำใช้เตรียมไว้ให้พระเถระอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะที่ทำไปมือข้างหนึ่งก็ปิดตาไป พอถึงเวลาถวายไม้ชำระฟัน จึงถวายด้วยมือข้างเดียว พระเถระเห็นเช่นนั้น จึงถามว่า “สามเณรเป็นอะไรหรือ”

เมื่อสามเณรเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระเถระตกใจ รีบพนมมือนั่งกระโหย่ง พร้อมกับพูดว่า “ท่านสัตบุรษ ขอท่านจงยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านเป็นที่พึ่งให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” แทนที่สามเณรจะตำหนิกลับพูดปลอบขวัญพระเถระว่า “ท่านผู้เจริญ นี่ไม่ใช่โทษของท่าน ไม่ใช่โทษของผม แต่นี่เป็นโทษของวัฏฏะ ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย” เมื่อพระเถระได้ฟังเช่นนั้น ยิ่งลำบากใจหนักเข้าไปอีก จึงช่วยสามเณรถืออัฐบริขาร เร่งเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อไปถึงได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุ ปกติของพระขีณาสพ จะไม่โกรธ หรือขัดเคืองต่อใครๆ เพราะท่านเหล่านั้นมีอินทรีย์ธรรมและมีใจสงบแล้ว”

พระเถระเดิมทีที่กระวนกระวาย เพราะกลัวจะได้บาป กลับได้ความสบายใจกลับคืนมา ขณะฟังธรรม ท่านค่อยๆ ทำใจหยุดใจนิ่งตรองตามพุทธวจนะที่พระพุทธองค์กำลังแสดง ครั้นจบพระธรรมเทศนา ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ วิบากกรรมที่ท่านเผลอทำให้สามเณรตาบอด ก็เป็นอโหสิกรรมไป เพราะกรรมที่ไม่มีเจตนาตามไม่ทัน เนื่องจากบุญที่เกิดจากการบรรลุพระอรหัตผล ได้ตัดกระแสวิบากกรรมเสียก่อน

ความสงบเสงี่ยมของสามเณรอรหันต์ ได้เป็นกำลังใจทำให้พระเถระซึ่งเป็นพระอาจารย์ได้เข้าถึงธรรมตามไปด้วย สามเณรแม้จะมีอายุเพียง ๗ ขวบ แต่ด้วยวุฒิภาวะที่สูงที่สุดในวัฏสงสาร ทำให้สามเณรเตือนตัวเองได้ แม้ในยามที่ลูกนัยย์ตาถูกพัดแทงเอาจนตาบอดไปข้างหนึ่ง ก็ไม่แสดงอาการกระสับกระส่ายแต่อย่างใด วัยของชีวิตอาจเป็นเครื่องวัดคุณธรรมและความสามารถได้ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน สำหรับพุทธบุตรผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว วัยไม่สำคัญเท่าสภาวธรรมภายใน เพราะคุณธรรมและคุณวิเศษภายในจะเป็นเครื่องวัดความเป็นสมณะที่สมบูรณ์

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน อย่าให้วัยมาเป็นอุปสรรค ให้เราต้องประมาทในการทำความดีสร้างบุญบารมี อย่าไปคิดว่าเรากำลังอยู่ในวัยเรียนวัยเล่น แล้วไม่ยอมสร้างบารมี หรือคิดว่ายังไม่ถึงวัยชรา ยังไม่ต้องเข้าวัดก็ได้ ให้รีบสร้างฐานะก่อน แต่ว่าพญามัจจุราชที่จะพิฆาตชีวิตเราให้หมดโอกาสในการสร้างความดีนั้น หาได้เลือกวัยไม่ ผู้ฉลาดเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงไม่ควรประมาทแม้ในวัยใดวัยหนึ่งจะต้องหมั่นทำความดี เพื่อแข่งกับวันเวลาที่มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังเช่นชีวิตของสามเณรที่ได้บรรลุธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เพราะท่านไม่ประมาทในชีวิต และได้สร้างบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงมองเห็นว่า เพศภาวะที่ดีที่สุด คือ เพศนักบวช ท่านจึงบวชเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเมื่อบุญส่งผล อินทรียธรรมของท่านแก่รอบ วัยในการบรรลุธรรมก็หาได้เป็นเงื่อนไขของชีวิตไม่ เพราะการบรรลุธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย แต่อยู่ที่ใจหยุด เส้นทางสู่สวรรค์และพระนิพพาน ไม่จำกัดด้วยวัยสำหรับผู้เดินทาง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ให้หมั่นทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาอย่างสมํ่าเสมอ จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน

ไม่มีความคิดเห็น: