วันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ศาสดาในโลกนี้

ชีวิตคนเราที่เกิดมา ไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อมไปหมดทุกเรื่อง บางครั้งก็ประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งก็ต้องประสบกับความผิดหวัง ขอเพียงแต่ให้เรามีพลังใจที่เข้มแข็ง อดทน พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคทั้งปวง ด้วยใจที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และก็หมั่นสั่งสมความดีอย่างไม่ย่อท้อ หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญอยู่เสมอ เมื่ออานุภาพแห่งบุญและความบริสุทธิ์ของใจเกิดขึ้น จนกระทั่งเป็นดวงกลมใสรอบตัว ติดนิ่งแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อนั้น ความสำเร็จและผลแห่งความดีทั้งหลาย จะหลั่งไหลมาสู่ตัวเรา ทำให้เราสมปรารถนาในทุกสิ่งได้อย่างเป็นอัศจรรย์ทีเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับอุปกาชีวกะไว้ว่า

เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวงอันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้วในธรรมทั้งปวง เราละธรรมที่เป็นไปในภูมิสามได้หมด หลุดพ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้วจะพึงอ้างใครเล่าเป็นศาสดา อาจารย์ของเราไม่มี บุคคลเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนกับเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดาที่หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว จะประกาศอมตธรรมในโลก เพื่อให้สรรพสัตว์ได้ธรรมจักษุ”

*มก. สังฆเภทขันธกะ (ศาสดา ๕ จำพวก) เล่ม ๙/๒๗๔

*การที่พระบรมศาสดาทรงปฏิญญาความเป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ทรงสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงสมบูรณ์ด้วยทศพลญาณ เวสารัชชญาณ และคุณธรรมที่สามารถมองเห็นกันได้ด้วยสายตา คือ ศีล อาชีวะ เทศนา ไวยากรณ์และญาณทัสนะ ก็ทรงทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สรรพสัตว์ จนเป็นที่ยอมรับกันว่า ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีศาสดาอื่นยิ่งกว่า

ในโลกนี้มีบุคคล ๕ ประเภท ที่ปฏิญญาว่าเป็นศาสดาทั้งที่ตนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นได้ คำว่าศาสดาแปลว่าผู้สั่งสอนคนอื่นให้รู้จักหนทางไปสู่สวรรค์และพระนิพพาน รู้จักเรื่องบุญและบาป สั่งสอนให้ละชั่ว ทำดีและทำใจให้ผ่องใส เป็นต้น แต่เนื่องจากศาสดาบางพวกไม่รู้แจ้งเห็นจริง จึงใช้จินตมยปัญญาคิดค้นด้นเดาเอาด้วยความเห็นส่วนตัว แล้วนำมาสั่งสอนลูกศิษย์ให้ปฏิบัติตาม ก็ปฏิบัติถูกบ้างผิดบ้างตามความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ ศาสดาบางคนมีข้อปฏิบัติที่ไม่รู้ตัว ว่าจะนำพาสาวกไปสู่อบายภูมิก็มี ส่วนศาสดาที่สามารถสั่งสอนสาวกให้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตจนสามารถหลุดพ้นจากอาสวกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้นั้น มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้เราจะมาศึกษาเรื่องศาสดาหรือครู หรือเจ้าลัทธิ ๕ จำพวกกัน

ศาสดาประเภทที่ ๑ เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีศีลที่ผ่องใสไม่เศร้าหมอง แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ แล้วปฏิญาณว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงช่วยกันปกปิดโทษศาสดาของตนเอาไว้ เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ ดังเช่น ตั้งตนเป็นผู้วิเศษทำนายทายทักอวัยวะ ทายนิมิต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นต้น อย่างนี้จัดเป็นมหาศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใครที่ตั้งตนเป็นเจ้าพิธีกรรมอย่างนี้ถือว่าจัดเป็นศาสดาผู้ทุศีล

ศาสดาประเภทที่ ๒ เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงช่วยกันปกปิดโทษศาสดาของตนเอาไว้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา มีผู้ที่ตั้งตนเป็นศาสดาเพื่อหวังลาภสักการะ จึงมีการแสวงหาที่เรียกว่าอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เช่น เป็นเทพเจ้าร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง เป็นผู้ทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผีเป็นต้น ซึ่งอาชีพอย่างนี้เป็นทางมาแห่งลาภสักการะจากผู้ที่ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัย ไม่รู้ความจริงของชีวิต ทำให้เกิดความหลงเชื่อถือในสิ่งที่ไม่ใช่สรณะ แม้ในปัจจุบันก็มีผู้ที่ตั้งตนเป็นครู เป็นเจ้าลัทธิ เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ทำพิธีอย่างนี้เยอะแยะทีเดียว

ศาสดาประเภทที่ ๓ เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ แต่กลับปฏิญาณว่า เป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะเป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธา จึงช่วยกันปกปิดความโง่เขลาเบาปัญญาของศาสดาตนเอาไว้ เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ เช่น ครูปูรณกัสสปะ ท่านผู้นี้สอนว่า การทำชั่วนั้น ถ้าไม่มีคนเห็น ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครลงโทษ ผลของความชั่วนั้น ก็ถือว่าเป็นโมฆะ จะชั่วก็ต่อเมื่อมีคนรู้ มีคนเห็นหรือจับได้เท่านั้น ส่วนความดีนั้นก็เหมือนกัน จะมีผลก็ต่อเมื่อมีคนรู้มีคนเห็น มีคนชื่นชม และมีผู้ให้บำเหน็จรางวัล ถ้าไม่มีใครรู้เห็น ไม่มีใครชื่นชม และไม่มีใครให้รางวัลแล้วก็ไม่มีผล ถือเป็นโมฆะ

คำสอนของท่านปูรณกัสสปะนี้ มีนัยว่า ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ เช่นคนทำบุญก็ไม่ชื่อว่าทำบุญ คนทำบาปก็ไม่ชื่อว่าทำบาป โดยสรุปก็คือบุญ-บาปไม่มี ความดีความชั่วไม่มี เป็นลัทธิที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ของศีลธรรมโดยสิ้นเชิง ถือว่าเป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ เพราะยิ่งสอนไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สาวกหลงผิดและตกไปในอบายภูมิมากเท่านั้น

ศาสดาประเภทที่ ๔ เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์ ถึงกระนั้นก็ยังช่วยกันปกปิด เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ คำว่าไวยากรณ์หมายถึงมีคำพูดหรือคำสอนที่แจ่มชัด ไม่มีเงื่อนงำ แจ่มแจ้งต่อผู้ฟังสามารถทำให้ผู้ฟังหายสงสัยและแทงตลอดในทุกๆ ประเด็นไม่เป็นปรัชญาที่พูดวกไปวนมา ชวนสงสัยไปทุกเรื่อง ยิ่งถามก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ดังเช่น ครูสัญชัยเวลัฏฐบุตร ผู้เป็นเจ้าลัทธิที่มีคำสอนที่ไม่แน่นอน ซัดส่ายลื่นไหล ตอบไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า เพื่อเอาตัวรอด เช่นตอบว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ คือไม่ยอมรับอะไรเลย และไม่ยืนยันอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้เรียกว่ามีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์

สำหรับศาสดาประเภทที่ ๕ คือ เป็นผู้มีญาณทัสนะไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีญาณทัสนะบริสุทธิ์ แต่ก็รู้กันดีในหมู่สาวกว่า ศาสดาของพวกตนมีญาณทัสนะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังช่วยกันปกปิดเอาไว้ เพราะเกรงว่าลาภสักการะจะเสื่อมสลายไป เหมือนนิครนถ์นาฏบุตรที่หลอกลวงชาวโลกว่าตนเป็นพระอรหันต์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เมื่อครั้งที่เศรษฐีกรุงราชคฤห์อยากรู้ว่าพระอรหันต์มีจริงหรือเปล่า จึงให้เอาบาตรไม้จันทน์แดงไปห้อยไว้บนยอดไผ่ นิครนถ์อยากได้มาก จึงขอบาตรกับเศรษฐี แต่เศรษฐีไม่ยอม บอกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์จริงก็เหาะขึ้นไปเอาเอง นิครนถ์จึงทำท่ายกมือยกเท้า แสร้งทำทีเหมือนจะเหาะ แต่เบื้องหลังก่อนจะเข้าไปหาเศรษฐี ได้สั่งให้สาวกทำทีเป็นดึงมือดึงเท้าพร้อมกับให้กล่าวห้ามปรามว่า “อาจารย์ ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้เลย มันเสียศักดิ์ศรี” จากนั้นก็ช่วยกันอ้อนวอนเศรษฐีให้นำบาตรมามอบให้ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเศรษฐีก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือลักษณะของศาสดา ๕ จำพวกซึ่งหมายรวมไปถึงครูและเจ้าลัทธิทั้งหลายที่มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงสมบูรณ์ด้วยศีล อาชีวะ ธรรมเทศนา ไวยากรณ์และญาณทัสนะ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อยังโลกให้สว่างไสวอย่างแท้จริง ทรงเป็นบรมศาสดาที่ไม่มีใครยิ่งกว่า หรือเสมอเหมือนก็ไม่มี ดังนั้นให้ทุกท่านหมั่นตรึกระลึกถึงพระพุทธคุณ และยึดเอาพระองค์ไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด แล้วชีวิตเราจะพบกับความสวัสดีมีชัย มีสุคติเป็นที่ไปกันทุกคน

วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ผู้ไม่ว่างเว้นจากการสร้างบารมี

ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะเป็นเวลาที่เราจะได้เพิ่มเติมความสุขความสำเร็จให้แก่ชีวิต ด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นสัจธรรมที่นำมาซึ่งความสุขและความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวล ทุกวันนี้มนุษย์กำลังสับสน ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต เมื่อไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตจึงต้องเวียนวนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ระทม เหมือนถูกตรึงด้วยเครื่องพันธนาการ ยากจะสลัดออกได้ ต่อเมื่อได้ฟังพระสัทธรรม จึงจะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต และสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตได้อย่างแท้จริงกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ภูริปัญหาชาดกว่า

น ปณฺฑิตา อตฺตสุขสฺส เหตุ

ปาปานิ กมฺมานิ สมาจรนฺติ

ทุกฺเขน ผุฏฺฐา ขลิตาปิ สนฺตา

ฉนฺทา จ โทสา น ชหนฺติ ธมฺมํ

บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ประพฤติกรรมอันเป็นบาป ถูกความทุกข์กระทบแล้ว แม้จะพลาดพลั้งไปก็สงบอยู่ได้ ไม่ละทิ้งธรรมเพราะความรักและชัง”

*มก. ขทิรังคชาดก เล่ม ๕๕/๓๖๕

*การสร้างบารมี เป็นหน้าที่หลักของเราในการเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ในช่วงเวลาที่กำลังสร้างบารมีอยู่นั้น บางครั้งเรา ก็พบเจอกับความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะหนทางการสร้างบารมีมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคที่เกิดขึ้นจะหล่อหลอมให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็ง และเป็นเครื่องทดสอบกำลังใจว่า เรามีหัวใจของยอดนักสร้างบารมีเต็มเปี่ยมแค่ไหน สำหรับผู้มีอุดมการณ์ที่มั่นคง มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร ก็จะไม่หวั่นไหวในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นมา เพื่อทดสอบและส่งเสริมการสร้างบารมีของเราให้เข้มข้นยิ่งขึ้น หากเราไม่หวั่นไหว อุปสรรคก็จะไหวหวั่นและย่อท้อต่อเราไปเอง

พระบรมโพธิสัตว์ ทุกภพทุกชาติที่สร้างบารมี ท่านก็เอาชีวิตเป็นเดิมพันทุกครั้งไป แม้จะพบเจออุปสรรคมากมายก็ไม่เคยคิดท้อแท้หรือเบื่อหน่ายคลายความเพียร ท่านไม่เคยยอมให้ชีวิตว่างเว้นจากการสร้างบารมีเลย จะแสวงหาบุญอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ท่านจะตั้งสติมั่น ใช้ปัญญาแก้ไขแล้วก็ฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นมาได้ทุกครั้งไป จนได้มาเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา

ยอดนักสร้างบารมีที่แท้จริง จะไม่เสียเวลามาคิดคำนึงถึงสิ่งที่ทำให้ท้อแท้ หรือวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น จะไม่ยอมให้อุปสรรคมาเป็นกำแพงขวางกั้นการสร้างบารมี แต่จะมองข้ามอุปสรรคเหล่านั้นเสีย หากรู้ว่าวิธีการใดเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น แม้ชีวิตท่านก็ยอมสละได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางการสร้างบารมีของท่านได้ เพราะเมื่อใจเราใหญ่ โลกก็เหลือใบนิดเดียวเท่านั้น

พวกเราเองก็เป็นยอดนักสร้างบารมี มีใจของพระบรมโพธิสัตว์ ที่ปรารถนาจะเห็นชาวโลกและสรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์ เมื่อเราได้อัตภาพของความเป็นมนุษย์ พร้อมที่จะสร้างบารมีได้ดีที่สุดอย่างนี้แล้ว จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีนี้ผ่านเลยไป ควรใช้โอกาสนี้สร้างบารมีให้เต็มที่ โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ให้เอาอย่างนักสร้างบารมีในกาลก่อน ที่มีใจมั่นคงยิ่งกว่าขุนเขา แม้มีผู้มาบอกให้เลิกทำความดี และกำลังประสบความทุกข์ยากลำบาก ก็ไม่ว่างเว้นจากการสร้างบารมี

เหมือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นยอดอุปัฏฐากฝ่ายชายที่มีความศรัทธามั่นในพระพุทธศาสนา ถึงกับเอาเงินไปปูเต็มพื้นดิน เพื่อแลกกับพื้นที่ที่จะสร้างวัดเชตวัน ใช้งบประมาณในการก่อสร้างถึง ๕๔ โกฏิ เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว ท่านหมั่นไปวัดถวายสังฆทาน ฟังธรรมมิได้ขาด โดยไม่เคยไปมือเปล่าเลย ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้น มากมายเกินที่จะคณานับ

ด้วยความใจใหญ่กล้าคิด และทุ่มเทให้กับงานพระศาสนาเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้าน กลัวว่าทรัพย์สมบัติของท่านจะหมด จึงคอยหาโอกาสบอกให้ท่านเลิกไปวัด เลิกถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ พอดีในช่วงนั้น ท่านเศรษฐีสมบัติขาดมือพอดี การค้าขายไม่คล่องตัว เงินทองที่เพื่อนยืมไปก็ไม่ได้คืน ทรัพย์ที่ฝังไว้ริมตลิ่งก็ถูกน้ำพัดพาไป ท่านเศรษฐีจึงยากจนลง แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์ถวายทานไม่ได้ขาดเลย แม้จะมีเพียงน้ำผักดองกับข้าวปลายเกรียน ก็ยังคงทำทานตามปกติ

เทวดาได้โอกาสจึงปรากฏกายอยู่ต่อหน้าท่านเศรษฐี พูดเตือนไปว่า “ท่านเศรษฐี ท่านอย่าได้ทำทานอีกต่อไปเลย ตั้งแต่เข้าวัดมา ก็มีแต่ยากจนลง ท่านไม่ได้อะไรเลย ควรหันกลับมาเร่งรีบทำธุรกิจเพื่อจะได้ทรัพย์สมบัติกลับคืนมาบ้าง จงเลิกทำบุญเสียเถิด”

เศรษฐีพอได้ฟังเช่นนั้น แทนที่จะเชื่อฟังคำของเทวดา กลับบอกเทวดาว่า “ท่านเป็นถึงเทวดา ทำไมมาบอกให้เราเลิกทำบุญ ท่านจงออกไปจากบ้านของเราเสียเถิด เราจะไม่ยอมเลิกทำบุญเป็นอันขาด” เทวดาเมื่อโดนขับไล่เช่นนั้น จึงไม่มีวิมานอยู่ เพราะตัวเองมีบุญน้อย เกิดรู้สึกสำนึกผิด จึงไปขอร้องให้เทวดาชั้นต่างๆ มาช่วยพูดกับท่านเศรษฐีให้ท่านยกโทษให้ แต่เทวดาเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะช่วยได้

พระอินทร์จึงแนะวิธีว่า ถ้าอยากให้เศรษฐียกโทษให้ ต้องไปทวงหนี้คืนให้ท่านเศรษฐี แล้วไปเอาทรัพย์ที่ถูกน้ำพัดไปกลับคืนมา และยังมีสมบัติที่อยู่ใต้ทะเลอีกมากมาย ให้ไปขนมาให้เศรษฐีได้ทำบุญต่อ แล้วเศรษฐีจะยกโทษให้ เทวดาตนนั้นจึงทำตามที่พระอินทร์บอกทุกอย่าง แล้วกลับมาบอกท่านเศรษฐี พร้อมทั้งขอให้ยกโทษให้แก่ตนด้วย เพราะที่พูดไปอย่างนั้นก็ด้วยความเป็นห่วงท่านเศรษฐี

อนาถบิณฑิกเศรษฐียกโทษให้ เทวดาจึงได้มีวิมานอยู่ตามเดิม เรื่องทราบถึงพระบรมศาสดา พระองค์จึงตรัสชมเชยท่านเศรษฐีว่า ทำถูกต้องแล้ว สมกับเป็นยอดนักสร้างบารมีจริงๆ แม้จะทำทาน เพียงน้ำผักดองกับข้าวปลายเกรียนก็ได้บุญมาก ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้น ทักษิณาทานชื่อว่ามีผลมาก ท่านเศรษฐีแม้จะยากจนลง ก็ไม่เคยหวั่นไหวและไม่เคยว่างเว้นจากการสร้างบารมี ได้ชื่อว่าทำตามอริยประเพณีอันดีงามแล้ว

แม้พระองค์เอง ในสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ถึงจะยากจนข้นแค้นอย่างไร ก็ไม่เคยเลิกล้มการทำความดีเลย แม้มีหญ้าคาเพียงมัดเดียว เมื่อถูกขอก็ไม่ได้ปฏิเสธ แม้จะถูกพญามารขัดขวางไม่ให้ทำทาน พร้อมทั้งขู่ว่า ถ้าขืนให้ทานอยู่อย่างนี้ จะต้องตกหลุมถ่านเพลิงลึกถึง ๘๐ ศอก พระองค์ก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะความเป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมีนี้เอง จึงทำให้พระองค์ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ

เพราะฉะนั้น ให้เรารู้ไว้เถิดว่า หากเงินทองที่เคยมีใช้จ่าย-อย่างสะดวกสบาย กลับหาได้ยาก และอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ทำให้เราท้อแท้ แสดงว่าบุญในตัวของเรายังพร่องอยู่ เป็นนิมิตหมายว่าเราจะต้องรีบสั่งสมบุญเพิ่มเติม อย่าได้ท้อแท้หรือตกใจ ให้ใช้สติและปัญญาแก้ไข เพราะอุปสรรคมีไว้ให้แก้ ปัญหาทุกปัญหาล้วนมีทางแก้ไข จะแก้ไขได้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการทำใจหยุดใจนิ่งดีแล้วนี่แหละ

นักสร้างบารมีที่แท้จริง จะต้องไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้น ใจจะมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะเป้าหมายของเราคือ การนำตนและสรรพสัตว์ เข้าสู่จุดหมายปลายทางคือที่สุดแห่งธรรม ซึ่งจะต้องอาศัยกำลังบุญมากและใจต้องใหญ่ ต้องกล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำ ถ้าเรามั่นคงในปณิธานเป้าหมายอันสูงส่งของเรา ความท้อแท้จะไม่บังเกิดขึ้นในใจเลย

คราใดที่เราท้อแท้หรือสิ้นหวัง ให้นึกถึงบุญภายในตัวที่เราได้สั่งสมมา และภาพอันงดงามที่เราเคยสร้างบารมีกันมา ให้นำใจมาหยุดไว้ที่ศูนย์กลางกาย ซึ่งเป็นแหล่งแห่งพลังบุญพลังบารมีที่แท้จริง ใจจะชุ่มฉํ่าเยือกเย็นอยู่ภายใน เปลี่ยนจากใจที่สับสน มาเป็นดวงใจที่หยุดนิ่ง จากที่วุ่นว่ายเร่าร้อน คืนสู่ความสงบสุขเยือกเย็น แล้วเราจะมีกำลังใจ เมื่อนำใจมาหยุด ณ ที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นที่ๆ ดีที่สุด เป็นการเพิ่มเติมบารมีให้แก่ตัวของเราเองกัน

วันเสาร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการเลือกให้

การเจริญสมาธิภาวนา เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จ เป็นทางมาของสติและปัญญา ที่จะทำให้เรามีความเฉลียวฉลาด ตลอดจนปฏิภาณไหวพริบแกล้วกล้า สามารถศึกษาเล่าเรียน และประกอบกิจการงานต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว บังเกิดผลสำเร็จเป็นอัศจรรย์ เมื่อเราเจริญภาวนาจนกระทั่งใจหยุดนิ่งหยั่งลงสู่ศูนย์กลางกายอันเป็นต้นแหล่งแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราจะเบิกบานผ่องใส เป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จทั้งมวล และยังช่วยให้เราสามารถรอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยในอบายภูมิ ตลอดจนภัยในสังสารวัฏ สิ่งเหล่านี้ เป็นอานิสงส์ของการเจริญสมาธิภาวนาที่เราจะได้รับไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งเข้าสู่อายตนนิพพานกันทีเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพุทธวรรควรรณนา ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า

บุคคลให้ทานในเขตใดแล้วมีผลมาก พึงเลือกให้ทานในเขตนั้นเถิด เพราะการเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลให้แล้วในทักขิไณยบุคคลทั้งหลายย่อมมีผลมาก เหมือนบุคคลหว่านพืชลงในนาดีฉะนั้น”

“ทาน” หมายถึงการให้ การสงเคราะห์ช่วยเหลือแบ่งปัน ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องดีงาม เพราะการให้เป็นคุณธรรมที่เกื้อกูลระหว่างชีวิตต่อชีวิต เป็นพื้นฐานความดีของมนุษยชาติ เป็นการสร้างความดีที่ง่ายที่สุด แต่กลับส่งผลดีให้แก่ชีวิตเราอย่างมากมาย

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการเลือกให้ คือก่อนจะให้ควรเลือกของที่จะให้ว่า สมควรหรือไม่ โดยเลือกให้แต่ของที่ดีของที่ประณีต ของนั้นต้องได้มาด้วยความสุจริต ถ้าให้ของดียิ่งกว่าที่ตนใช้ เวลาบุญส่งผลก็จะได้ของที่ประณีต ของที่ดีเลิศ แต่อย่างน้อยก็ควรให้ของในระดับเดียวกันกับที่ตนใช้อยู่ และต้องดูด้วยว่าจะให้กับใคร ทานนั้นจึงจะมีผลมาก ถ้าให้กับทักขิไณยบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ผลบุญก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล เหมือนชาวนาผู้ฉลาดในการทำนาต้องคัดพันธุ์ข้าวที่ดี หว่านข้าวลงในนาดี มีน้ำดี มีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ เมื่อทำอย่างนี้ เขาจึงจะได้รับผลผลิตที่คุ้มค่าแก่ความเหนื่อยยาก ดังเรื่องของเทพบุตรผู้ที่ฉลาดในการเลือกให้ทาน

มก. อังกุระเทพบุตร เล่ม ๔๓/๓๓๔

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ได้เสด็จโปรดพระพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะประทับ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ทรงมีพระรัศมีแผ่กว้างครอบคลุมหมู่เทวดาทั้งหลาย เทพบุตรพุทธมารดาก็เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ประทับในที่เบื้องขวาของพระพุทธองค์ อังกุรเทพบุตรนั่งอยู่ในที่เบื้องซ้าย แต่เมื่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทยอยกันมาเฝ้าพระพุทธองค์ อังกุรเทพบุตรก็ต้องถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ถอยไปจนถึงท้ายสุดในที่ประชุมนั้น ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ขณะที่เทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ชื่ออินทกเทพบุตร มานั่งเช่นไรในตอนแรกก็ยังคงนั่งอยู่ในที่เดิมเช่นนั้น

พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเทพบุตรทั้งสองแล้ว มีพระประสงค์จะประกาศความแตกต่างกัน ระหว่างทานที่บุคคลถวายแด่ทักขิไณยบุคคลในศาสนาของพระองค์ กับทานที่บุคคลให้แล้วแก่โลกียมหาชน จึงตรัสถามอังกุรเทพบุตรว่า

“ดูก่อนอังกุระ ท่านให้ทานมาเป็นเวลานานถึง ๑๐,๐๐๐ ปี ก่อเตาหุงข้าวยาวเป็นแถวถึง ๑๒ โยชน์ทุกวัน แต่เมื่อมาสู่สมาคมของเรา ท่านกลับต้องนั่งห่างออกไปถึง ๑๒ โยชน์ ไกลกว่าเทพบุตรทั้งปวง นั่นเป็นเพราะเหตุใด ?”

อังกุรเทพบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้บริจาคทานมากมายในสมัยที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นทานที่ให้แก่มหาชนทั่วไป คือให้ทานในเวลาที่ปราศจากทักขิไณยบุคคล ส่วนอินทกเทพบุตรนี้ แม้ถวายทานเพียงน้อยนิด เพียงข้าวทัพพีเดียว แต่เพราะได้ทำถูกทักขิไณยบุคคล จึงรุ่งเรืองกว่าข้าพองค์ เหมือนดวงจันทร์รุ่งเรืองกว่าหมู่ดาวฉะนั้น”

พระศาสดาจึงตรัสถามอินทกเทพบุตร ผู้นั่งอยู่กับที่มิได้เคลื่อนย้ายไปไหนเลย อินทกเทพบุตรจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ถวายทานแด่ทักขิไณยบุคคล ดุจบุคคลหว่านพืชแม้น้อยลงในเนื้อนาดีผลย่อมงอกงามไพบูลย์” และเพื่อจะประกาศความสำคัญของทักขิไณยบุคคล จึงกราบทูลต่อไปว่า

“พืชแม้มากที่บุคคลหว่านลงในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ชาวนาเองก็ไม่ปลื้มใจฉันใด ทานแม้มีมากที่บุคคลให้แล้วในผู้ทุศีล ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทายกก็ไม่ปลื้มใจฉันนั้น ส่วนพืชแม้น้อย ที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี ย่อมมีผลไพบูลย์ ชาวนาก็ปลาบปลื้มยินดีฉันใด ทานเล็กน้อยที่บุคคลทำในบุญเขต ในท่านผู้มีศีล มีคุณธรรมที่มั่นคง ย่อมอำนวยผลไพบูลย์ ยังบุคคลผู้ให้นั้น ย่อมให้ชื่นชมยินดี ฉันนั้น”

ทำไมอินทกเทพบุตรจึงพูดอย่างนี้ เพราะอินทกเทพบุตรนั้น เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์ ได้ถวายข้าวเพียงทัพพีเดียวแด่พระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญนี้ย่อมมีผลมากกว่าทาน ที่อังกุรเทพบุตรเคยทำแล้วในอดีตชาติ คือได้ก่อเตาไฟหุงข้าวเป็นแถวยาวถึง ๑๒ โยชน์ เพื่อบริจาคในทุกๆ วันแก่คนธรรมดาทั่วไปถึง ๑๐,๐๐๐ ปี เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลแล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสกับอังกุรเทพบุตรว่า

“ธรรมดาการให้ทาน ควรพิจารณาก่อนแล้วจึงให้ ทานนั้นย่อมมีผลมาก เหมือนการหว่านพืชลงในนาดี แต่เธอหาได้ทำเช่นนั้นไม่ เหตุนั้นทานของเธอจึงมีผลไม่มาก ส่วนทานที่บุคคลให้แล้วในเขตใดมีผลมาก ควรพิจารณาแล้วให้ในเขตนั้นเถิด เพราะการพิจารณาก่อนแล้วจึงให้ เราตถาคตย่อมสรรเสริญ ทานที่ให้แล้วในทักขิไณยบุคคล ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น”

จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ทานจะให้ผลอันไพบูลย์ได้ ก็ต่อเมื่อถวายแด่ผู้รับที่บริสุทธิ์ เป็นทักขิไณยบุคคล ผู้รับจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ทานนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด และทำให้เกิดกำลังใจแก่ผู้ให้

ดังนั้น เราควรทำทานให้บริสุทธิ์ ครบองค์ประกอบของการให้ทั้ง ๓ อย่าง คือ วัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ทั้งก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว และบุคคลบริสุทธิ์ทั้งผู้รับและผู้ให้ ย่อมได้ผลบุญมาก

พอเราถวายทานขาดจากใจเท่านั้น ศูนย์กลางกายของเรา ก็จะมีอายตนะของบุญบังเกิดขึ้น เป็นดวงใสบริสุทธิ์ ปุญญาภิสันทาท่อธารแห่งบุญก็หลั่งไหลมาจากอายตนนิพพาน มาจรดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ตามความบริสุทธิ์ของใจที่หยุดนิ่งตามกำลังของความปีติ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย

ถ้าเลื่อมใสมากก็สว่างมาก เลื่อมใสน้อยบุญก็ลดหย่อนไปตามส่วน แล้วกระแสบุญที่ใสสว่างบริสุทธิ์นี้ ก็จะเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น ทำให้เราได้มีรูปสมบัติที่งดงามแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ มีอายุขัยยืนยาว ถ้าหากบารมีเต็มเปี่ยมก็งามไม่มีที่ติ ได้ลักษณะมหาบุรุษ ถ้าบารมีลดหย่อนลงมา รูปสมบัติของเราก็ลดหย่อนลงมาตามลำดับ

อีกทั้งบุญนั้นก็ยังทำให้เกิดทรัพย์สมบัติ ทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง เกิดขึ้นมาจากบุญบันดาล กระแสแห่งบุญนี้จะไปดึงดูดโภคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเข้ามาหาตัวเรา เอาไว้สำหรับ หล่อเลี้ยงสังขาร พวกพ้องบริวารและก็เพื่อการสร้างบารมี

นอกจากนี้บุญยังก่อให้เกิดคุณสมบัติ คือความรู้ความเฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณคล่องแคล่ว คุณสมบัติต่างๆ ก็จะบังเกิดขึ้น เพื่อใช้ในการปกครองตน ปกครองคน ปกครองงาน และก็สร้างบารมี รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ เกิดขึ้นมา เพราะกระแสธารแห่งบุญนี้ดลบันดาลให้เกิดขึ้น ดึงดูดให้เกิดขึ้น

ความสมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน ก็เกิดขึ้นมาด้วยกระแสแห่งบุญนี่แหละ เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว จะต้องสร้างกันให้มากๆ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ความสุขความสำเร็จก็จะยิ่งเกิดขึ้นมาก และหมั่นรักษาใจของเราให้อยู่ในแหล่งของบุญ คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้อยู่ที่ตรงนี้ตลอดเวลาเลย

วันจันทร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

มองด้วยปัญญาพาให้หลุดพ้น

ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา มีทั้งความสุขภายนอกและความสุขภายใน ความสุขภายนอกหรือที่เรียกว่าความสุขทางกาย บางครั้งอาจต้องทำตามกระแสกิเลสคือราคะโทสะและโมหะที่ทำให้อยากได้อยากมีอยากเป็น ซึ่งเมื่อเป็นไปตามกระแสกิเลสแล้ว ก็ต้องเจือด้วยความทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนความสุขภายในหรือสุขทางใจนั้นเลิศกว่าความสุขภายนอก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เราแสวงหา เป็นความสุขที่อยู่เหนือกระแสกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ความสุขชนิดนี้จะนำมาแต่ความเย็นกายเย็นใจ แม้เป็นฆราวาสผู้ครองเรือน ก็สามารถแสวงหาความสุขที่แท้จริงนี้ได้ โดยเฉพาะธุรกิจกับจิตใจต้องพัฒนาควบคู่กันไป ซึ่งความสุขภายในนี้จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราต้องทำความรู้จัก จะพบเจอก็ต่อเมื่อปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา ทำใจหยุดใจนิ่งให้เข้าถึงธรรมะภายในเท่านั้น

มีพุทธวจนะที่ปรากฏในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาตว่า

อปฺปมตฺติกา เอสา ภิกฺขเว ปริหานิ ยทิทํ โภคปริหานิ เอตํ ปฏิกิฏฺฐํ ภิกฺขเว ปริหานีนํ ยทิทํ ปญฺญาปริหานิ

ความเสื่อมญาติ โภคะ ยศ มีทุกข์มีโทษน้อย ส่วนความเสื่อมปัญญา มีทุกข์มีโทษมากกว่าความเสื่อมทั้งหลาย”

ความเสื่อมแม้เพียงเล็กน้อย ใครๆ ก็ย่อมไม่ปรารถนา แต่สิ่งที่จะต้องไม่ให้เสื่อมและต้องรักษาไว้ให้ดีคือสติและปัญญา เพราะความเสื่อมทั้งหลายที่ก่อให้เกิดความหายนะ และก่อให้เกิดทุกข์ที่ยิ่งไปกว่าความเสื่อมของสติและปัญญานั้น ย่อมไม่มี สติและปัญญานั้น เป็นยอดแห่งสมบัติทั้งหลาย เมื่อยังมีอยู่ ถึงแม้จะเสื่อมจากสิ่งอื่นไป ก็ยังสามารถแสวงหามาใหม่ได้ แต่ปัญญาความรอบรู้ โดยเฉพาะปัญญาที่ทำให้เข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม จะทำให้เรามีชีวิตที่สว่างไสวทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพราะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย สำหรับวันนี้มีตัวอย่างของพระเถระผู้มีปัญญาสามารถนำพาตนให้ข้ามพ้นสังสารวัฏนี้ไปได้แม้ในยามวิกฤติ ซึ่งยากที่ใครจะสามารถทำได้ ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เราลองมาศึกษากันดูเลย

*มก. จันทนเถรคาถา เล่ม ๔๖/๑๒

*สมัยพุทธกาลมีพระเถระองค์หนึ่งชื่อว่าจันทนะ ก่อนที่ท่านจะมาเกิดร่วมยุคสมัยกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา อดีตชาติที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้ที่ชอบสั่งสมบุญกุศลจนเป็นอุปนิสัย เพราะท่านรู้ว่าบุญเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย การจะได้โลกิยทรัพย์และอริยทรัพย์ ก็ล้วนได้มาด้วยอานุภาพบุญที่สั่งสมเอาไว้อย่างดีแล้วทั้งนั้น

ย้อนไปในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อโลกว่างเว้นจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเถระได้ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวามีวิมานอยู่ที่ต้นไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งการเกิดเป็นรุกขเทวานี้ ก็จัดอยู่ในเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นเทวดาชั้นล่าง เทวดาชั้นนี้ถ้าใส่ใจในบุญกุศลก็จะมีโอกาสทำความดีได้มากกว่าเทวดาชั้นสูง เพราะอยู่ใกล้กับภพภูมิของมนุษย์ ใกล้กับเนื้อนาบุญคือพระภิกษุสามเณร และชาติที่พระเถระเป็นรุกขเทวา ท่านก็เป็นรุกขเทวาผู้มีสัมมาทิฏฐิใส่ใจในการสร้างบุญสร้างกุศล

วันหนึ่งรุกขเทวานั้นได้เห็นพระสุทัสสนะปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งพักอาศัยและปฏิบัติธรรมอยู่ในระหว่างซอกเขา เมื่อเห็นแล้วก็มีจิตเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิบัติอันงดงามของพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งความสงบสำรวมของสมณะนี้ ย่อมเป็นทางมาแห่งหนทางสวรรค์และพระนิพพานของผู้ที่ได้พบเห็นทีเดียว เมื่อรุกขเทวา ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้นำดอกอัญชันไปบูชาพระองค์ ด้วยบุญแห่งอามิสบูชาที่ทำด้วยจิตที่เลื่อมใสในครั้งนั้น ทำให้ท่านได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก ไม่ได้ไปเกิดในภพภูมิอื่นเลย

ครั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาบังเกิดขึ้นในโลกและได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วทรงเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านก็ได้มาบังเกิดในตระกูลที่ผู้คนนับหน้าถือตา เป็นลูกของคฤหบดี มีทรัพย์สมบัติมาก อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี มีนามว่าจันทนะ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานมีคู่ครอง มีลูกน้อยสุดที่รักคนหนึ่ง ต่อมา มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอฟังจบเท่านั้นก็ได้บรรลุธรรมเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนา หลังจากที่ท่านได้เข้าถึงความสุขภายใน ที่ยิ่งกว่าความสุขภายนอกแล้ว ก็เกิดเบื่อหน่ายในการครองเรือน ในการใช้ชีวิตคู่ เลยยกทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมดให้บุตรและภรรยา แล้วก็ออกบวช ครั้นบวชแล้วท่านก็เป็นผู้ที่รักในการฝึกฝนอบรมตนเอง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนสหธรรมิก มีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส โดยเฉพาะเรื่องการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านก็ปฏิบัติอยู่เป็นประจำสมํ่าเสมอและมักปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเพียงลำพัง

เมื่อไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้ จึงอยากจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อฟังธรรมและถามปัญหาในการปฏิบัติธรรม เมื่อคิดแล้วท่านก็กลับกรุงสาวัตถี ฝ่ายอดีตภรรยา พอทราบข่าวการกลับมาของพระเถระ ก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามเพื่อไปต้อนรับ หวังจะหว่านล้อมให้พระเถระสึกออกมาด้วยมารยาของตนทั้งสองนั้น ก็ได้ไปพบกันในระหว่างทางพอดี เมื่อพบกันแล้ว พระเถระก็ตั้งสติมั่นว่า “เราจะไม่ยอมลุ่มหลง ไปตามอำนาจกิเลสของนางอย่างเด็ดขาด” จากนั้นก็ประคองสติหยุดใจไว้ในภายใน เพราะมีสติสำรวมระวังอินทรีย์เป็นอย่างดี ทำให้ใจของท่านหยุดนิ่งตั้งมั่นเป็นพิเศษ ในระหว่างที่อดีตภรรยาพร้อมกับลูกและบริวารกำลังเดินมาหานั่นเอง ท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในระหว่างทางนั้นนั่นเอง แล้วก็เหาะขึ้นไปยืนในอากาศแสดงธรรมแก่อดีตภรรยาพร้อมทั้งลูกและบริวาร ได้ยังใจของนางให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ให้นางสมาทานศีลและเจริญภาวนา

นี่ก็ถือว่าเป็นการแสดงความรักและความปรารถนาดีอย่างถูกวิธี เพราะถ้าเรารักและปรารถนาดีต่อใครก็ตาม อยากให้เขามีชีวิตที่มีแต่ความสุขอย่างแท้จริง ก็จะต้องแนะนำให้เขารู้จักการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอย่างนี้แหละ จึงจะเรียกว่ารักกันจริง เพราะถ้าทำอย่างอื่น ก็ต้องถือว่ารักกันยังไม่ถูกทาง เมื่อไม่ถูกทางชีวิตก็ลุ่มๆ ดอนๆ ละโลกแล้ว ก็อาจมีอบายภูมิเป็นที่ไปได้

เมื่อพระเถระกลับมาถึงที่พักแล้ว เพื่อนภิกษุเห็นว่าท่านมีผิวพรรณผุดผ่องกว่าทุกวัน ก็ถามว่า “อาวุโส ทำไมวันนี้ผิวพรรณท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านแทงตลอดสัจจะธรรมได้แล้วหรือ” พระเถระจึงตอบว่า “ภรรยาเก่าของกระผมแต่งตัวด้วยเครื่องประดับที่ทำด้วยทอง แวดล้อมด้วยหมู่ทาสี ได้อุ้มบุตรเข้ามาหากระผม เวลาที่เห็นภรรยาผู้เป็นมารดาของบุตรกำลังเดินมา กระผมก็เห็นบุตรและภรรยา ย่อมเป็นดุจบ่วงที่พญามารดักเอาไว้ กระผมนั้นเป็นผู้มีใจมั่นคง มีจิตมุ่งตรงต่อพระนิพพาน โทษแห่งสังขารทั้งหลายก็เกิดปรากฏขึ้น ความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏจึงมีแก่กระผมจิตของกระผมนั้นหลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ ขอท่านทั้งหลาย จงดูความที่ธรรมเป็นของดีเลิศ วิชชา ๓ อภิญญา ๖ ผมได้แทงตลอดแล้ว ร่างกายที่สวยสดงดงามเห็นปานนี้ ย่อมถูกชราพยาธิและมรณะครอบงำ โอ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ”

พระจันทนะเถระเป็นผู้ที่เข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องความเป็นจริงของชีวิต แม้จะเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่กลับมีจิตใจที่สูงส่ง มิได้ยึดติดทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เป็นโลกิยสมบัติ ได้สละสมบัติเหล่านั้น ออกบวชเพื่อมุ่งไปเอาสมบัติอันประณีต ที่เป็นโลกุตตรสมบัติ ท่านเป็นผู้มีปัญญาอันประเสริฐ เพราะเป็นปัญญาเพื่อความหลุดพ้น สามารถสอนตนเองได้ จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะทั้งมวล

สิ่งรอบๆตัวเราทุกอย่าง สามารถเป็นครูสอนเราได้ทั้งนั้น ถ้าเราไม่ปล่อยผ่าน รู้จักใช้สติปัญญาขบคิดพิจารณา ก็จะทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง และก็จะไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาและอุปสรรค เพราะเราดำเนินชีวิตอยู่อย่างมีสติและมีปัญญา โดยเฉพาะปัญญาที่เป็นพุทธิปัญญาของผู้รู้อย่างแท้จริง จะต้องได้มาจากการปฏิบัติธรรม เมื่อเราเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ปัญญาของเราก็จะเป็นปัญญาบริสุทธิ์ที่จะนำพาเราให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลกั

วันพุธที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

วิชชาของชีวิต

ชีวิตจะมีความสุขมากหรือน้อย ล้วนขึ้นอยู่ที่ใจเป็นหลัก เราสามารถที่จะทำให้มีมากขึ้นหรือลดน้อยลง จนกลายเป็นความทุกข์ก็ได้ เมื่อเรามัววิตกกังวลหรือคิดเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดีกว่า ก็จะทำให้สิ่งที่มีอยู่นั้นด้อยคุณค่า ในทางกลับกัน หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่ด้อยกว่า ก็จะรู้สึกว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นดีกว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราว่า เราจะเลือกเอาอย่างไหน ผู้ฉลาดพึงเลือกที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขความเจริญ ด้วยการสั่งสมบุญอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา เพียงน้อมใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาสบาย เมื่อถูกส่วนเข้าก็จะเห็นแสงสว่าง พบดวงธรรม พบกายในกาย จนกระทั่งได้เข้าถึง พระธรรมกาย เมื่อเข้าถึงตรงนั้นได้ จะมีแต่ความสุขอย่างเดียว ดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นใจเจริญสมาธิภาวนาทำใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน

มีพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ความว่า

อยสา ว มลํ สมุฏฺฐิตํ

ตทุฏฺฐาย ตเมว ขาทติ

เอวํ อติโธนจารินํ

สานิ กมฺมานิ นยนฺติ ทุคฺคตึ

กรรมทั้งหลายที่เป็นของตน ย่อมนำบุคคล ผู้ขาดปัญญาในการพิจารณาใช้ปัจจัยสี่ ไปสู่ทุคติ เหมือนสนิมเกิดจากเหล็ก ถ้ายังอยู่กับเหล็ก ย่อมกัดกินเหล็กเรื่อยไป”

การกระทำทุกอย่างทั้งทางกาย วาจาและทางใจ รวมเรียกว่า กรรม เมื่อได้ทำไปแล้ว จะถูกเก็บบันทึกไว้ทันที ด้วยกล้องชั้นดีที่สุดในโลก คือ ใจของเราเอง จากนั้น ผลแห่งการกระทำจะคอยส่งผลติดตามมาโดยตลอด เหมือนเงาติดตามตัว รวมเรียกว่าวิบากกรรม ดังนั้น ก่อนที่จะทำอะไรลงไป ต้องมีสติ ใช้ปัญญาพิจารณาให้ดี ให้ทำแต่สิ่งที่ทำให้ใจของเราผ่องใส เช่นให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเป็นต้น อย่าให้ใจของเราไปยึดติดอยู่กับคนสัตว์สิ่งของ หรือสิ่งที่ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกเป็นอันขาด เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีห่วงมีอาลัย แล้วใจจะเศร้าหมอง ความหมองของใจสำหรับผู้ใกล้จะตาย เป็นอันตรายต่อการเดินทางไปสู่ปรโลก

*มก. พระติสสเถระ เล่ม ๔๓/๑๖

*ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้ขาดปัญญาพิจารณาในการใช้สอยจีวร ซึ่งญาติโยมนำมาถวาย จึงมีจิตผูกพันอย่างแน่นแฟ้น เมื่อละโลกไปแล้ว แทนที่จะได้ไปสวรรค์หรือไปสู่สุคติภูมิ กลับต้องไปเกิดเป็นเล็นที่จีวรผืนนั้น

เรื่องมีอยู่ว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ได้รับฉายาว่า ติสสะ เมื่อบวชแล้ว ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดในชนบท ได้ผ้าสาฎกเนื้อหยาบมาประมาณ ๘ ศอก พอออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินทางกลับไปวัดบ้านเกิด นำผ้านั้น ไปฝากโยมพี่สาวไว้ก่อน ครั้นโยมพี่สาวรับผ้ามาแล้ว เห็นว่าผ้าสาฎกผืนนี้ไม่เหมาะสมกับพระน้องชาย พระน้องชายควรจะได้นุ่งห่มผ้าที่เนื้อดีกว่านี้ จึงนำผ้าผืนนั้นไปสาง ดีด กรอ ปั่น ทำให้ด้ายละเอียดกว่าเดิม แล้วทอเป็นผ้าสาฎกผืนใหม่

ฝ่ายพระน้องชายได้จัดแจงด้ายและเข็ม แล้วไปนิมนต์เพื่อนสหธรรมิกมาประชุมกันทำจีวร จากนั้นจึงไปหาโยมพี่สาวที่บ้าน เพื่อขอผ้าสาฎกคืน โยมพี่สาวนำเอาผ้าสาฎกประมาณ ๙ ศอกผืนใหม่ออกมาถวาย ท่านรับผ้าสาฎกนั้นมาพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่ใช่ผ้าผืนที่ได้นำมาฝาก จึงบอกว่า “ผ้าสาฎกของฉันเนื้อหยาบ ยาวประมาณ ๘ ศอก แต่ผืนนี้เนื้อละเอียดยาวประมาณ ๙ ศอกกว่าๆ ผ้านี้มิใช่ผ้าสาฎกของอาตมา นี่เป็นผ้าสาฎกของโยมพี่”

เมื่อโยมพี่สาวได้ชี้แจงบอกให้พระน้องชายหายคลางแคลงแล้ว ท่านจึงยอมรับเอาผ้าผืนนั้นไปวิหาร แล้วเริ่มทำจีวรกับเพื่อนสหธรรมิก ฝ่ายโยมพี่สาวได้จัดแจงอาหารหวานคาว ไปถวายภิกษุสามเณรผู้ทำจีวรของพระติสสะทุกวัน ในวันที่จีวรเสร็จ โยมพี่สาวได้ถวายอาหารที่อร่อยเป็นพิเศษ และเครื่องไทยธรรมอีกมากมาย ส่วนพระติสสะมองดูจีวรแล้ว เกิดความปีติเบิกบานเป็นพิเศษ ที่จะได้ใช้จีวรที่ประณีต ซึ่งที่ผ่านมาท่านไม่เคยได้ครองผ้าที่มีเนื้อละเอียดอย่างนี้มาก่อน จึงคิดว่า “พรุ่งนี้ เราจะห่มจีวรผืนนี้ออกบิณฑบาต” แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง แต่ในคืนวันนั้นเอง ท่านเกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย จึงมรณภาพลง แล้วไปเกิดเป็นเล็นที่จีวรผืนนั้นเอง

พวกภิกษุได้ช่วยกันสลายร่างของท่าน แล้วปรึกษากันว่า “เมื่อภิกษุอุปัฏฐากไข้ของพระติสสะ ไม่มี จีวรของท่านก็ต้องตกเป็นของสงฆ์ ฉะนั้น พวกเราควรแบ่งจีวรผืนนี้ถวายภิกษุผู้มีพรรษากาลมากที่สุด” แล้วจึงให้นำจีวรผืนนั้นออกมา ฝ่ายเล็นได้เห็นการกระทำของพระภิกษุ จึงเกิดความหวงแหนในจีวร โดยลืมว่าตัวเองไม่ได้เป็นพระแล้ว บัดนี้เป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยผ้าอยู่เท่านั้น จึงกระโดดร้องไปมาว่า “ภิกษุพวกนี้ กำลังแย่งจีวรของเรา”

พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงสดับเสียงของเล็นด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ จึงตรัสกับท่านพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอไปบอกพวกภิกษุทั้งหลายว่า อย่าพึ่งแบ่งจีวรของติสสะ ให้เก็บเอาไว้สัก ๗ วันก่อน” พระเถระจึงไปแจ้งให้ภิกษุทั้งหลายทราบ พอครบ ๗ วัน เล็นก็หมดอายุขัยพอดี และจิตก็ได้คลายความยึดมั่นถือมั่น ครั้นตายลง จึงทำให้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต

ในวันที่ ๘ พระศาสดารับสั่งให้แบ่งจีวรของติสสะได้ หลังจากแบ่งจีวรตามพระบรมพุทธานุญาตแล้ว จึงนั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า “ทำไมหนอ พระบรมศาสดาจึงรับสั่งให้เก็บจีวรของพระติสสะไว้ถึง ๗ วัน” เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาที่โรงธรรมสภาแล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาเรื่องอะไรกันหรือ” เมื่อตัวแทนของภิกษุกราบทูลให้ทราบ จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ติสสะมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเล็นที่จีวรของตน เพราะไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาในการใช้สอยปัจจัยสี่ ขณะที่พวกเธอจะแบ่งจีวรกันนั้น เขาได้วิ่งร้องไปข้างโน้นทีข้างนี้ทีว่า “ภิกษุพวกนี้กำลังแย่งจีวรของเรา”

ฉะนั้น เมื่อพวกเธอแบ่งจีวรไปใช้ เล็นก็จะโกรธเคืองจนจิตเศร้าหมอง ในที่สุดก็ต้องตกนรก ด้วยเหตุนี้ ตถาคตจึงสั่งให้เก็บจีวรเอาไว้ก่อน แต่เดี๋ยวนี้ เขาได้คลายความยึดมั่นถือมั่นในจีวร ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงอนุญาตให้พวกเธอรับเอาจีวรไปใช้ได้ตามสะดวก

เมื่อภิกษุสงฆ์กราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ความห่วงหาอาลัยนี้เป็นภัยร้ายนัก” จึงตรัสรับรองว่า “ถูกต้องแล้วภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าตัณหา ความห่วงอาลัย ความทะยานอยากของสัตว์ เป็นมหันตภัยอย่างยิ่ง สนิมเกิดจากเหล็ก ย่อมกัดก้อนเหล็กให้เหล็กพินาศไป ทำให้ใช้สอยไม่ได้ ฉันใด ตัณหานี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นภายในใจของสัตว์เหล่าใด ย่อมทำให้สัตว์เหล่านั้นเกิดในอบายมีนรก เป็นต้น”

จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า สภาพใจของเฮือกสุดท้ายของชีวิต มีผลต่อชีวิตใหม่ในปรโลกอย่างไรบ้าง ซึ่งเราจะดูเบาไม่ได้เลย ถ้าหากจิตไปผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ทำให้มีความอาลัยซึ่งจะทำให้ใจเศร้าหมอง แล้วบาปอกุศลจะได้ช่อง ชิงช่วงนำไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ใจต้องใสๆ อย่างน้อยต้องให้อยู่ในบุญ ใจต้องติดอยู่กับพระรัตนตรัย ความรู้นี้เป็นเคล็ดวิชาที่เราต้องศึกษาเอาไว้ คือต้องรู้จักผูกใจไว้กับธรรมะ และในบุญกุศล อย่าเอาไปผูกไว้กับคน สัตว์ สิ่งของซึ่งไม่ใช่สรณะ เพื่อใจจะได้ผ่องใสและมีสุคติเป็นที่ไป

ความไม่รู้หลักวิชาในการเดินทางไปสู่ปรโลก เป็นอันตรายต่อชีวิตมาก ผู้รู้ทั้งหลาย เมื่อเห็นคนใกล้ตัวใกล้จะสิ้นใจ จะไม่มัวตกอกตกใจ หรือแสดงอาการเศร้าโศกเสียใจ แต่จะคอยพูดให้ใจสบายและเตือนสติว่า ให้นึกถึงบุญ นึกถึงพระ ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ เป็นการบอกหนทางสรรค์ให้แก่ผู้ตาย เพราะฉะนั้น ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุดนี้ เป็นศึกชิงภพของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในไม่ช้าก็ต้องประสบพบเจอกันทั้งนั้น ให้หมั่นเจริญมรณานุสติ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต และหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้ใจติดอยู่กับพระรัตนตรัยภายใน แล้วเราจะจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะกันทุกคน

วันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

จากพรานมาเป็นพระ

การเรียนรู้มีสองวิชาหลักที่ต้องเรียนรู้ คือ วิชาชีพกับวิชาชีวิต วิชาชีพหมายถึงความรู้ความสามารถเพื่อปากเพื่อท้องในชาตินี้ ส่วนวิชาชีวิตเป็นวิชาที่จะละทิ้งไม่ได้ วิชาชีวิตเป็นวิชาในการเอาตัวรอดจากภัยจากความทุกข์ในสังสารวัฏ เป็นวิชาที่ทุกชีวิตจะต้องให้ความสำคัญ เพราะชีวิตหลังความตายนั้นยืนยาวกว่าความเป็นอยู่ในชาตินี้ ผู้ที่เห็นแต่ความสำเร็จสมหวังในปัจจุบันชาติ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตในปรโลก ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้คับแคบ แม้ว่าหลายๆ ท่านจะจบดอกเตอร์มีปริญญาสี่ห้าใบก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่สร้างบุญบารมีเพิ่มก็ย่อมยากที่จะเห็นความสำเร็จสมหวังได้อีก เพราะมองชีวิตออกแค่ก่อนตาย ฉะนั้น การจะศึกษาวิชาชีวิตให้ได้ดี และมีความรู้ความเข้าใจสมบูรณ์ก็จะต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติธรรม ทำใจหยุดใจนิ่ง ยิ่งใจเราหยุดนิ่งได้สมบูรณ์ได้เท่าไหร่ ความจริงของชีวิตเราก็จะสามารถเรียนรู้ได้ง่ายมากเท่านั้น แล้วจะทำให้เรารู้ว่าชีวิตข้างหน้านั้น เราควรจะดำเนินไปอย่างไร

มีวาระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในเถราคาถา อปทาน ความว่า

ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ

ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ

เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ

น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี ฯ

น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน

อธมฺโม นิรยํ เนติ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ

ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม ย่อมมีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมนำให้ถึงสุคติ”

ผู้ประพฤติธรรม ไม่ว่าจะหลับจะตื่นจะนั่งนอนยืนเดิน ก็ย่อมมีแต่ความสุข เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมคือสภาพที่ทรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์และความดีทั้งหลาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีผู้ใดเลยที่ปฏิบัติธรรมแล้วจะตกต่ำ โดยเฉพาะเมื่อสามารถเข้าถึงพระธรรมกายภายในที่เป็นแก่นของชีวิตได้ พระธรรมกายก็จะช่วยประคับประคองผู้เข้าถึงให้อยู่ในเส้นทางแห่งความดีตลอดไป

ธรรมะที่ปฏิบัติคือแผนที่เดินทางไปสู่สวรรค์และพระนิพพาน พระธรรมเป็นความรู้ที่ยิ่งกว่าความรู้ทั้งหลาย เพราะผู้ที่รู้และดำรงตนอยู่ในธรรมแล้วจะเข้าถึงความสุขความสำเร็จที่ยิ่งกว่าความสุขความสำเร็จที่ได้มาจากสิ่งอื่น ผู้ที่ให้ความสำคัญให้ความเคารพในพระธรรม ย่อมเป็นบุคคลที่มีแต่ความสุข ดังเช่นอดีตชาติของพระธัมมิกะเถระผู้มีอัธยาศัยชอบสร้างความดี มีใจเป็นบุญกุศล ด้วยอานิสงส์นี้ทำให้ท่านได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง

*มก. ธัมมิกเถรคาถา เล่ม ๕๒/๕๐

*ในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขีท่านก็ได้มาเกิดร่วมยุคกับพระพุทธองค์ ท่านได้มีประกอบอาชีพเป็นพรานป่าล่าสัตว์ วันหนึ่ง ขณะที่พระบรมศาสดากำลังแสดงธรรมโปรดเหล่าเทพเทวาอยู่ในป่านั้น ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่นายพรานกำลังล่าสัตว์ ขณะกำลังเดินป่าล่าอยู่นั้นก็ได้มาถึงป่าแห่งนั้น ซึ่งป่าแห่งนั้นเป็นป่าที่สว่างไสวด้วยรัศมีของพระพุทธองค์ และหมู่ทวยเทพทั้งหลาย นายพรานเห็นพระพุทธองค์แล้วก็บังเกิดความเลื่อมใสไม่มีประมาณ ยิ่งได้สดับพระธรรมเทศนาที่กำลังแสดงโปรดเหล่าทวยเทพ ก็ยิ่งมีเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น และได้บังเกิดความเคารพพระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์กำลังแสดงอยู่เป็นพิเศษถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจบทแห่งธรรมที่ทรงแสดงอยู่ก็ตาม เพราะคิดว่า พระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์แสดงโปรดเหล่าเทวดา ต้องเป็นความรู้ที่หาฟังได้ยาก และตลอดชีวิตหลังจากวันนั้นนายพรานก็ได้ทำความเคารพเลื่อมใสในพระธรรมอย่างสมํ่าเสมอ ด้วยบุญนั้น ก็ส่งผลให้ท่านได้เกิดอยู่ในสองภพภูมิเท่านั้นคือในเทวโลกและมนุษยโลก

ต่อมาในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านก็ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในโกศลรัฐ มีชื่อว่าธัมมิกะ และในวันที่ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐีได้ถวายวัดพระเชตวันมหาวิหารแด่พระหมู่สงฆ์โดยมีพระพุทธองค์เป็นประมุข มานพหนุ่มธัมมิกะก็ได้อยู่ร่วมเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์นั้นด้วย ทำให้ท่านมีโอกาสได้ฟังธรรมพระธรรมเทศนา และก็ได้บังเกิดความเลื่อมใสในหมู่สงฆ์ ผู้มีความสงบเสงี่ยมสง่างาม มีผิวพรรณผ่องใส และก็มีความเห็นว่า เพศนักบวชเป็นเพศที่บริสุทธิ์ที่สุด จึงออกบวช ต่อมาก็รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ณ วัดใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อพรรษากาลของท่านมากขึ้นท่านก็เป็นพระที่มีความความอดทนน้อย ขี้รำคาญ ชอบจับผิดจู้จี้จุกจิก ไม่ว่าใครจะทำอะไรท่านก็สามารถตำหนิได้ทุกเรื่อง ทำให้เพื่อนพระภิกษุด้วยกันเกิดความเอื่อมระอาหมดความอดทน ส่งผลให้ไม่มีความสุข ในการปฏิบัติธรรม จึงได้พากันหลีกหนีไปอยู่วัดอื่น ท่านพระธัมมิกะจึงต้องอยู่องค์เดียวในวัด

ฝ่ายอุบาสกเจ้าภาพใหญ่ในการสร้างวัดทราบเรื่องนั้นเข้าก็คิดที่จะแก้ไข เพราะตนอุตส่าห์สร้างวัดหวังจะให้พระอยู่กันมากๆ ยิ่งพระอยู่มาก ก็จะมีโอกาสได้ทำบุญกับเนื้อนาบุญได้มากขึ้นตามลำดับ พอคิดแล้ว อุบาสกก็นำความกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

เมื่อพระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องทั้งหมดก็ตรัสเรียกธัมมิกะภิกษุมาซักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ท่านก็ยอมรับในข้อผิดพลาดของตัวเองด้วยความเคารพ เมื่อพระพุทธองค์เห็นว่าท่านเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย เป็นผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่รู้จักการวางตัวกับผู้คน เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสเตือนว่า “ภิกษุ ไม่เฉพาะแต่ชาตินี้เท่านั้นที่เธอเป็นอย่างนี้ ชาติก่อนๆ เธอก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน” จากนั้นก็ทรงแสดงอดีตชาติของท่านที่เกิดเป็นรุกขเทวดาแล้วไม่สามารถรักษารุกขธรรมได้ให้ท่านได้ฟัง

รุกขธรรมหมายถึงธรรมที่รุกขเทวาไม่ทำอันตรายแก่ผู้ที่ตัดต้นไม้ โดยที่สุดจะต้องไม่คิดล้างแค้นไม่โกรธในแม้ต้นไม้ของตนจะถูกตัดก็ตาม สำหรับเทวดาถ้าโกรธมากๆ จนห้ามความโกรธไม่ได้ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้องจุติ ฉะนั้นเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องทำให้ได้ คือไม่โกรธไม่คิดประทุษร้าย ไม่อย่างนั้นก็จะจุติคือตายจากการเป็นเทวดา

เมื่อจบพระธรรมของพระพุทธองค์ พระธัมมิกเถระผู้ได้ปล่อยใจเข้าสู่ภายใน สามารถทำใจหยุดใจนิ่งตามพระกระแสเสียงที่ไพเราะก้องกังวาลของพระมหาบุรุษ ก็ได้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายอรหัตเป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลส

จากชีวิตพรานป่าก็มาเป็นพระแท้ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่ใช่มีเฉพาะมนุษย์ ที่ต้องการเนื้อนาบุญ เทวดาเองเขาก็ยังต้องการเนื้อนาบุญ ฉะนั้น ชีวิตของท่านถือว่าชีวิตที่มีคุณภาพชีวิตที่พัฒนามาโดยลำดับ ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยที่แม้ตอนแรกที่ท่านฟังก็ไม่เข้าใจขณะเป็นพรานแต่ด้วยการที่ให้สำคัญต่อพระธรรมอย่างเดียว ซึ่งเราก็อาจจะนึกไม่ถึงเลยถึงอานิสงส์ว่าจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ฉะนั้น บุญแต่ละบุญอย่าไปคิดว่าเป็นบุญเล็กบุญน้อย เพราะขึ้นชื่อว่าบุญล้วนมีผลมาก

พระธรรมเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้เราเห็นความทุกข์ที่ต้องหลีกหนี และความสุขที่แท้จริงที่จะต้องแสวงหา ผู้ใดที่มีพระธรรมอยู่ในหัวใจจะเป็นผู้ที่สว่างไสวทั้งขณะมีชีวิตอยู่ ละโลกไปแล้วก็จะสว่างไสวต่อในปรโลก ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตจะต้องเจริญรุ่งเรืองอยู่ภายใต้ร่มธรรม จึงจะเป็นความเจริญรุ่งเรืองที่ร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง เหมือนอดีตชาติของพระธัมมิกะเถระที่เคารพในพระธรรม แล้วชีวิตของท่านก็ไม่เคยตกต่ำเลยแม้แต่ชาติเดียว นี้เป็นเพียงอานิสงส์ที่ให้ความสำคัญให้ความเคารพพระธรรมในภายนอกเท่านั้น ยิ่งหากเราเข้าถึงพระธรรมภายใน อานิสงส์จะยิ่งส่งผลมากมายมหาศาลยิ่งกว่านี้อีกนับไม่ถ้วน ถ้าเราปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรมก็ต้องทำสมาธิเจริญภาวนา หมั่นสั่งสมบุญบารมี โดยเฉพาะทานศีลภาวนาหรือบารมี๓๐ทัศที่จะช่วยกลั่นธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ จะทำให้ใจเราสว่างไสวเพราะได้กระแสบุญมาหล่อเลี้ยง เมื่อเราหลับตาทำสมาธิหยุดใจไว้ภายในก็จะทำได้โดยง่าย และก็จะได้เข้าถึงธรรมกันอย่างสะดวกสบายกันทุกคน

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ชีวิตดุจไม้ใกล้ฝั่ง

ยามใดที่บุคคลทั้งหลายละเลยการฟังธรรม ยามนั้นเขาย่อมเสียโอกาสที่จะได้สัมผัสกับอมตธรรมอันทรงคุณค่า ทุกวันนี้มนุษย์ยังสับสนอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต เมื่อไม่ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตจึงต้องเวียนวนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ระทม หากจะมีความสุขบ้าง ก็เพียงเล็กน้อยหรือชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เหมือนหลับแล้วฝันไป ครั้นตื่นขึ้นมาก็ยังพบกับความทุกข์อยู่เหมือนเดิม ชีวิตจึงเหมือนถูกตรึงด้วยเครื่องพันธนาการ ยากจะสลัดออกได้ ต่อเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรม จึงจะเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต และสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตได้อย่างแท้จริงกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในภัทเทกรัตตสูตรว่า

อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว

น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา

ความเพียรควรทำในวันนี้ ใครเลยจะรู้ว่า ความตายจักมีในวันต่อไป เพราะการผัดเพี้ยนกับพญามัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มี”

ปัจจุบันมนุษย์น้อยคนนักที่จะนึกถึงความตาย คนส่วนมากจะคิดแต่เรื่องการทำมาหากิน คิดว่าวันนี้ หรือวันข้างหน้าจะแสวงหาทรัพย์มาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ทำให้ประมาทในชีวิต ละเลยต่อการสร้างบุญบารมีอันเป็นงานหลัก งานที่แท้จริงของชีวิต การแสวงหาทรัพย์ภายนอกนั้นเป็นเพียงงานรอง เพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ เพื่อจะได้ทำงานหลักต่อไปเท่านั้น

การมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ดี เราจะได้ไม่ประมาท เพราะในที่สุดแล้ว ล้วนต่างต้องตายกันหมดทุกคน หากมีสติระลึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเราดุจไม้ใกล้ฝั่ง ไม่รู้ว่าจะล้มลงในวันใด ดังนั้นเวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ จึงควรเร่งสร้างความดี ทำงานไปด้วย สร้างบุญไปด้วย ชีวิตจะได้ปลอดภัย ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่อาจรู้ได้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวแค่ไหน ความตาย เป็นสิ่งที่กำหนดได้ยาก ดีที่สุดคือเราควรรีบทำความดีตั้งแต่วันนี้

*มก. พ่อค้ามีทรัพย์มาก เล่ม ๔๓/๑๓๒

*ในสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าท่านหนึ่ง มีอาชีพค้าขายผ้าหลากหลายชนิดด้วยกัน วันหนึ่ง ขณะที่บรรทุกผ้าเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางจากเมืองพาราณสีไปยังเมืองสาวัตถี เพื่อทำการค้าตามปกติ ครั้นเดินทางมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง จึงหยุดที่ริมฝั่ง สั่งให้ลูกน้องพักเกวียน คืนนั้นเกิดฝนตกหนัก จนกระทั่งน้ำล้นตลิ่ง พ่อค้าจึงคิดว่า “เราเองก็เดินทางมาไกล ถ้าเดินทางต่อก็จะเสียเวลา ควรทำการค้าที่นี่ให้แล้วเสร็จตลอดทั้งฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว”

ขณะเดียวกัน พระบรมศาสดาได้เสด็จผ่านมาพอดี เมื่อทอดพระเนตเห็นพ่อค้าท่านนี้แล้ว ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงทูลถามถึงเหตุนั้น พระศาสดาตรัสว่า “อานนท์ เธอเห็นพ่อค้าผู้มีทรัพย์คนนั้นไหม” พระอานนท์ทูลตอบว่า “เห็นพระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า “พ่อค้าไม่รู้ว่า อันตรายถึงชีวิตจะเกิดขึ้นกับตน จึงคิดที่จะอยู่ที่นี่ตลอดปี เพื่อทำการค้าขาย” พระอานนท์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันตรายถึงชีวิตจะเกิดขึ้นกับเขาหรือ พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ใช่แล้ว อานนท์ พ่อค้านี้จะมีชีวิตอยู่อีกเพียงเจ็ดวันเท่านั้น”

พระอานนท์จึงทูลขออนุญาตเพื่อไปบอกพ่อค้านั้น พ่อค้าได้ถวายอาหารแด่พระเถระ พระอานนท์จึงถือโอกาสสนทนากับพ่อค้าโดยถามว่า “ท่านจะอยู่ที่นี่นานไหม” พ่อค้าตอบว่า “กระผมเดินทางมาไกล ถ้าจะเดินทางต่อไปอีก ก็กลัวจะเสียงานเสียเวลา จึงตั้งใจจะขายสินค้าอยู่ที่นี่ตลอดฤดูกาล” พระอานนท์จึงเตือนว่า “อุบาสก อันตรายของชีวิตรู้ได้ยาก ทำไมท่านมัวประมาทในชีวิตเล่า พระบรมศาสดาตรัสบอกว่า ท่านจะมีชีวิตอยู่อีกเพียง ๗ วันเท่านั้น”

พ่อค้าพอได้ฟังดังนั้น ก็ตกใจและสลดใจมาก แต่ก็มีสติ จึงตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลือน้อยนิดนี้สร้างความดีให้เต็มที่ เพราะชีวิตของตนเป็นดุจไม้ใกล้ฝั่ง จากนั้น ก็ถวายสังฆทานมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระศาสดาได้ประทานโอวาทว่า “อุบาสก ธรรมดาบัณฑิตไม่ควรประมาท อย่าคิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ ประกอบการงานตลอดฤดูทั้ง ๓ ควรคิดถึงความตายบ้าง” ขณะที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนา เรื่องความไม่ประมาทในชีวิตอยู่นั้น พ่อค้าก็ได้ปล่อยใจไปตามกระแสพระธรรมเทศนา ได้ทำใจให้หยุดให้นิ่งตามไปด้วย พอจบพระธรรมเทศนา พ่อค้าก็มีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบันทันที

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จกลับ พ่อค้านั้นก็ได้เดินตามไปส่งทันทีที่พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุสงฆ์กลับมาถึงที่พัก เขาก็เกิดปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหัน จึงนอนพัก และสิ้นชีวิตลงในวันนั้นนั่นเอง ด้วยอานิสงส์แห่งบุญที่ได้ตั้งใจทำในช่วงบั้นปลายชีวิตตลอด ๗ วัน ประกอบกับมีดวงตาเห็นธรรม จึงได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

เราจะเห็นว่า ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นดุจไม้ใกล้ฝั่ง ชีวิตเราใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ จะกำหนดวัน เวลาและสถานไม่ได้ เหมือนต้นไม้ริมตลิ่ง ที่ถูกกระแสน้ำเซาะให้พังลงไป ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ย่อมถูกกระแสแห่งความชรา ความเจ็บ ความตายทำให้เสื่อมและดับไปได้ทุกเมื่อ บุคคลใดไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต หมั่นตักเตือนตัวเองอยู่เสมอ รีบเร่งทำความเพียร สั่งสมบุญอยู่เป็นนิตย์ แม้อันตรายแห่งชีวิตจะเกิดขึ้น ก็ไม่เกรงกลัวต่อมรณภัยนั้นเลย

นอกจากนี้เราควรพิจารณาว่า สังขารทั้งหลายเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อีกทั้งยังต้องหมั่นพิจารณาบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่ลืม ไม่หลงใหลเพลิดเพลิน หมกมุ่นพัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อันจะเป็นเหตุให้เราเหิ่นห่างจากการเข้าถึงพระธรรมกาย ยิ่งห่างจากพระธรรมกาย ซึ่งเป็นต้นแหล่งกำเนิดของความสุขอันเป็นอมตะ ความทุกข์จะยิ่งได้โอกาสพรั่งพรูเข้ามาสู่กายและใจของเรา

ในขณะที่เรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่นี้ เราก็จะต้องพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้แต่ร่างกายของเราก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เป็นจุดเล็กๆ เจริญเติบโตด้วยอาหารของมารดา จนกระทั่งลืมตามาดูโลก แล้วก็เจริญเติบโตเรื่อยมา ไม่มีคงที่เลย เปลี่ยนแปลงเรื่อยมาตามลำดับสู่วัยหนุ่มวัยสาว วัยกลางคน วัยชรา จนกระทั่งสู่เชิงตะกอนในที่สุด

เพราะฉะนั้น ร่างกายของเราจึงเป็นแต่เพียงเครื่องอาศัย เหมือนบ้านเรือนที่อาศัยกันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ในที่สุดมันก็ต้องผุพังลง ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงไม่ได้ สิ่งที่จะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดได้นั้น จะต้องคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดความสุขตลอดกาล คือเป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตานั่นเอง

พระพุทธเจ้าได้ทรงพิสูจน์แล้วว่า พระธรรมกายนั่นแหละ เป็นนิจจัง เป็นสุขัง เป็นอัตตา เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง การที่จะเข้าถึงสรณะนี้จะต้องอาศัย อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คือเอาร่างกายของเรานี้แหละ ลงมือฝึกฝนปฏิบัติ รู้จักพึ่งตัวเอง ทำความเพียรโดยการฝึกใจหยุดใจนิ่ง ไม่ใช่ไปสวดมนต์อ้อนวอนจุดธูปบูชา เพื่อจะให้เข้าถึงสรณะที่พึ่งที่ระลึก อย่างนั้นมันเข้าถึงไม่ได้ ต้องอาศัยตัวของเราเท่านั้น

เราจะต้องมีความเพียรในการทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เช่นนี้จึงจะได้ชื่อว่าไม่ประมาทในชีวิต เพียรทำใจให้หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อยๆ หยุดโดยไม่ต้องยั้งหยุดอย่างไม่ถอนถอย หยุดตลอดเวลาทุกอนุวินาที ทำใจหยุดอย่างนี้ แม้พญามัจจุราชก็จะย่อท้อ จะมองไม่เห็นผู้ที่มีใจหยุดสนิทอย่างแท้จริง ดังนั้น ใจหยุดนิ่งจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ให้ทุกท่านตระหนักเสมอว่า สิ่งที่เราจะสูญเสียไปไม่ได้อีกแล้ว คือ เวลา เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้น ได้ดึงเอาความแข็งแรง ความสดชื่นของร่างกายเราไปด้วย เราควรสงวนวันเวลาสำหรับชีวิตของเราไว้เพื่อการประพฤติธรรม ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกภายในให้ได้ ให้คิดกันอย่างนี้ทุกๆ วัน

กัลยาณมิตรผู้ให้ชีวิตใหม่

มิตรแท้คือกัลยาณมิตรผู้แนะประโยชน์แก่เรา รองจากพ่อแม่แล้วถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเรามาก ในการจะคบใครเป็นมิตรจะต้องพิจารณาดูให้รอบคอบโดยดูที่นิสัยและคุณธรรมเป็นหลัก ถ้ามีความประพฤติดีมีคุณธรรมก็ควรจะคบหาสมาคมด้วย และมิตรแท้ที่ดีที่สุดก็คือพระธรรมกายภายในตัวของเรานี่เอง ท่านจะเป็นที่ปรึกษาเป็นที่พึ่งของเราได้ทุกเวลาทุกสถานที่ ฉะนั้น จะต้องปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้

มีวาระธรรมที่ปรากฏในสุพรหมสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ความว่า

นาญฺญตฺร โพชฺฌงฺค ตปสา นาญฺญตฺร อินฺทฺริยสํวรา

นาญฺญตฺร สพฺพนิสฺสคฺคา โสตฺถึ ปสฺสามิ ปาณินํ

นอกจากปัญญาและความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากการปล่อยวางโดยประการทั้งปวง เรายังไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย”

ไม่ว่าจะเป็นผู้ครองเรือนหรือเป็นพระภิกษุสามเณร การจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำอย่างมีหลักวิชา เหมือนการที่เราอยากเรียนเก่งๆ สอบได้คะแนนดีๆ เราก็ต้องตั้งใจเรียน ขยันดูหนังสือ หมั่นสอบถามครูอาจารย์ถึงวิชาความรู้ที่ยังไม่เข้าใจ การจะบรรลุธรรมไปตามลำดับ จนถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ก็เช่นกัน จะต้องใช้ปัญญา มีความเพียรสำรวมระวังไม่ให้ใจไปกระทบกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา และสุดท้ายจะต้องรู้จักปล่อยวางไม่ยึดติดในคนสัตว์สิ่งของในขณะปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา นี้คือหลักวิชาที่จะทำให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวของเรา ยิ่งถ้าปรารถนาความสำเร็จที่สูงส่งและยิ่งใหญ่เพียงใด ยิ่งต้องทุ่มเทมากขึ้นเพียงนั้น

ความรักกันฉันสามีภรรยาฉันพี่ฉันน้อง หรือความรักของพ่อแม่ที่มีให้ต่อลูก ถึงแม้จะเป็นรักที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นความรักโดยปกติของสรรพสัตว์ทั่วไป เมื่อใดที่พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก น้อยคนจะสามารถยอมรับมันได้ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความเศร้าโศกเสียใจร่ำพิไรรำพัน ถ้าขาดความรู้เรื่องความรักที่ถูกต้อง

*มก. คิริมานันทเถรคาถา เล่ม ๕๒/๘๑

*ในอดีตกาลมีชายคนหนึ่งเป็นหนุ่มที่มีอารมณ์ดี เป็นที่รักของเพื่อนบ้าน และหนุ่มคนนี้ก็ชอบเข้าวัดทำบุญ วันปกติถือศีล ๕ วันพระถือศีล ๘ ช่วงเข้าพรรษาก็รักษาอุโบสถศีลทั้งพรรษา เขามีอัธยาศัยชอบการสั่งสมบุญ โดยเฉพาะภพชาติใดที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ก็ยิ่งขวนขวายสร้างบุญสร้างบารมีเป็นพิเศษ เมื่อเขาได้ละโลกไปแต่ละชาติก็ได้ไปบังเกิดยังสุคติโลกสวรรค์

ในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธ เขาก็ได้มาเกิดในตระกูลที่มีฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง เมื่อโตเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานครองชีวิตตามรูปแบบการใช้ชีวิตของบรรพบุรุษ อยู่ต่อมา เหตุการณ์ที่เป็นจุดหักเหของชีวิตก็ได้เกิดขึ้น คือพ่อแม่พี่ชายภรรยาและลูกๆ ได้มาตายจากเขาไปในเวลาที่ไรเรี่ยกัน จากชายหนุ่มที่มีบุคลิกลักษณะดี ต้องกลับกลาย เป็นคนละคนเพราะความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไป เขากินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งตัวก็ผอมเหลืองสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น จิตใจเหม่อลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาได้ออกจากบ้านไปอยู่ในป่าอาศัยหลับนอนอยู่ตามโคนไม้ มีผลไม้ประทังชีวิตไปวันๆ

แต่ด้วยบุญเดิมที่เขาเป็นผู้ที่รักในการสร้างบุญบารมี ทำให้เขาได้เข้าไปในข่ายพระญาณของพระสุเมธพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงมีพระประสงค์จะสงเคราะห์เขาเพราะเขามีบุญพอที่จะแนะนำได้ จึงเสด็จไปในป่าที่เขาอยู่ เมื่อได้เห็นพระมหามุนีเสด็จเข้ามาใกล้ ก็เกิดความปีติปลาบปลื้มใจ ความทุกข์โศกก็ได้มลายหายสูญไปกลับได้สติทันทีทันใด เหมือนความมืดที่ถูกตะวันส่องแสงขจัดให้หายไป เขาได้เอาใบไม้ปูทำเป็นที่ประทับนั่งถวายแด่พระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ประทับนั่งแล้วก็ทรงแสดงธรรม เพื่อถอนลูกศรคือความเศร้าโศกเสียใจที่ปักอยู่ในใจของเขามาเป็นเวลานาน ด้วยพระสุรเสียงที่กังวานไพเราะว่า

“ผู้ที่ตายเหล่านั้นไม่มีใครเชิญให้มา ก็มาจากปรโลกกันเอง ไม่มีใครอนุญาตให้ไป ก็ไปจากมนุษยโลกกันเอง เขาเหล่านั้นมาแล้วฉันใด ก็ไปฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขาเหล่านั้น สัตว์มีเท้า เมื่อฝนตกลงมาก็เข้าไปอาศัยในศาลา เมื่อฝนหยุดตกแล้ว ต่างก็ไปตามปรารถนาฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไม ถึงการตายของท่านเหล่านั้น แขกผู้จรไปมาเป็นผู้สั่นหวั่นไหวฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขา งูละคราบเก่าแล้ว ย่อมไปสู่กายเดิมฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขาเหล่านั้น”

ชายหนุ่มเมื่อได้ฟังธรรมและตรองตามไปด้วย ก็รู้ถึงความเป็นจริงของชีวิตที่ทุกคนต้องประสบ เมื่อรู้ถึงกฎของชีวิตที่มีพบก็ต้องมีพราก เขาก็สามารถยอมรับความเป็นจริงได้ และได้ถวายบังคมพระพุทธองค์แล้วได้ประนมอัญชลีขึ้นเหนือเศียรเกล้า ระลึกนึกถึงพระพุทธคุณอันเลิศ สรรเสริญพระพุทธองค์ผู้เป็นนายกของโลกว่า

“ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า พระองค์เป็นสัพพัญญู เป็นนายกของโลก ทรงข้ามพ้นแล้วยังทรงรื้อขนสรรพสัตว์ด้วยพระพุทธบารมีอีก ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีจักษุ พระองค์ตัดความเคลือบแคลงสงสัยแล้ว ได้ทรงยังมรรคให้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์”

เมื่อเขาออกมาจากป่า ก็หมั่นสร้างบุญบารมีเหมือนเดิม พอละโลกก็ได้ไปบังเกิดยังสุคติโลกสวรรค์ ท่องเที่ยวอยู่แต่ในเทวโลกและมนุษยโลกเท่านั้น พอมาถึงยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เขาก็มาเกิดเป็นลูกชายปุโรหิตของพระเจ้าพิมพิสารในเมืองราชคฤห์ มีชื่อว่าคิริมานันทะ พอรู้เดียงสาแล้ว ก็ได้เห็นอานุภาพของพระพุทธองค์ในการเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ก็เกิดความศรัทธา จึงออกบวชตามพระพุทธองค์ พระเจ้าพิมพิสารมหาราชทรงทราบว่าลูกชายปุโรหิตออกบวชจึงปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐาก และตรัสบอกพระบวชใหม่ว่าจะสร้างกุฏิถวาย แต่พระราชาก็ทรงลืมเพราะมีพระราชกรณียกิจมาก ท่านเลยไม่มีที่พักต้องจำวัดกลางแจ้งตามโคนต้นไม้ เหล่าเทวดาที่อยู่อาศัยอาณาบริเวณนั้นเมื่อเห็นพระเถระพักอยู่กลางแจ้งจึงห้ามฝนไม่ให้ตกเพราะกลัวพระเถระจะเปียก

พระราชาทรงมีพระปรีชารู้ว่าฝนไม่ตก ก็นึกขึ้นได้ว่าพระเถระยังไม่มีกุฏิที่พัก จึงทรงให้ช่างสร้างกุฏิถวาย จากนั้นฝนก็ตกตามธรรมชาติ พระเถระอยู่ในกุฏิได้ทำความเพียรนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมอย่างสมํ่าเสมอ ไม่นานนักท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะได้เสนาสนะเป็นสัปปายะ ครั้นพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว ขณะที่ฝนตกกระทบหลังคากุฏิประหนึ่งส่งเสียงร่าเริงยินดีอยู่นั้น ท่านก็ได้กล่าวขึ้นว่า

“ฝนตกส่งเสียงไพเราะเหมือนเสียงเพลง กุฏิของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างปิดมิดชิด เราเป็นผู้สงบอยู่ ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน เราเป็นผู้ปราศจากราคะโทสะและโมหะ ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน”

นี้ก็เป็นประวัติชีวิตอันงดงามของพระอรหันต์รูปหนึ่ง ซึ่งเส้นทางชีวิตที่พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นได้ก้าวผ่านมานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกัลยาณมิตรคอยประคับประคอง ดังเช่นอดีตชาติของพระคิริมานันทะเถระที่ได้ชีวิตใหม่จากการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหากในชาติหนึ่งไม่มีพระสุเมธพุทธเจ้ามาทรงเป็นเนื้อนาบุญให้ ชีวิตของท่านก็ยากที่จะมีวันนี้ได้ ซึ่งกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดของทุกคนก็มีอยู่ภายในตัวทุกคนแล้ว คือพระธรรมกายภายในตัวของเรานั่นเอง เราจะต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ โดยพยายามฝึกใจหยุดนิ่งเรื่อยไป ทำทุกๆ วันอย่าได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว ให้ดูตัวอย่างผู้ที่ได้บรรลุธรรมไปแล้ว ทุกท่านล้วนมีความเพียรที่สมํ่าเสมอ ฉะนั้น ให้พวกเราขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติธรรมกัน

วันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อยากเป็นที่รัก ต้องรักการให้

ทานบารมีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นบารมีเบื้องต้นที่จะส่งผลให้เราสมบูรณ์พร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ สามารถสร้างมหาทานบารมีได้อย่างต่อเนื่อง เอาบุญมาต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติและยังสามารถสร้างบารมีอย่างอื่นได้อย่างสะดวกสบาย เช่น เมื่ออานิสงส์จากทานบารมีส่งผล จะทำให้ร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ไม่ต้องเสียเวลากับการแสวงหาทรัพย์ เพื่อการทำมาหาเลี้ยงชีพ เมื่อถึงคราวปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา สามารถทำได้ดังใจปรารถนา โดยไม่ต้องมีห่วงกังวลกับเรื่องการแสวงหาทรัพย์มาคอยเหนี่ยวรั้งจิตใจ และเข้าถึงธรรมได้อย่างรวดเร็ว เพราะการตัดใจสละของรักของหวงได้อย่างง่ายๆ ทำให้สามารถปลดปล่อยวางอารมณ์ได้ง่ายขึ้นด้วย ทำให้ใจปลอดโปร่งใสสว่างเหมาะต่อการทำใจหยุดใจนิ่ง ดังนั้น เมื่อจะทำทานทุกครั้งจะต้องรักษาใจให้ผ่องใส ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ใจใส คือ การหมั่นเจริญสมาธิภาวนา ฉะนั้น ควรทำใจหยุดใจนิ่งเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในนิธิกัณฑสูตร ความว่า

บุรุษฝังขุมทรัพย์ไว้ในน้ำลึก ด้วยคิดว่า เมื่อกิจที่จำเป็นเกิดขึ้น ทรัพย์นี้จักเป็นประโยชน์แก่เรา เพื่อเปลื้องตนจากราชภัยบ้าง เพื่อช่วยตนให้พ้นจากโจรภัยบ้าง เพื่อเปลื้องหนี้บ้าง ในคราวทุพภิกขภัยบ้าง ในคราวคับขันบ้าง ขุมทรัพย์ที่เขาฝังไว้ในโลก เพื่อประโยชน์นี้แล

ขุมทรัพย์นั้น ย่อมหาสำเร็จประโยชน์แก่เขาไปทั้งหมด ในกาลทุกเมื่อเสียทีเดียวไม่ เพราะขุมทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ไปเสียบ้าง จดจำไม่ได้เสียบ้าง ถูกพวกนาคเคลื่อนย้ายเสียบ้าง ถูกยักษ์เคลื่อนย้ายไปเสียบ้าง ถูกทายาทอันไม่เป็นที่รักขโมยขุดเอาไปเสียบ้าง หรือในเวลาที่สิ้นบุญ ขุมทรัพย์ทั้งหมด หายสาบสูญไปเสียบ้างก็มี

ขุมทรัพย์ คือ บุญของผู้ใด เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม ฝังไว้ดีแล้วด้วยทาน ศีล ความสำรวม ความฝึกตน ฝังไว้ดีแล้วในเจดีย์บ้าง ในสงฆ์บ้าง ในบุคคลบ้าง ในแขกบ้าง ในมารดาบ้าง ในบิดาบ้าง หรือในพี่ชายพี่สาวบ้าง ขุมทรัพย์นั้น ชื่อว่าฝังไว้ดีแล้ว ใครๆ ไม่อาจเอาไปได้ เป็นของที่จะติดตามตนไปได้ บรรดาโภคะทั้งหลาย ที่เขาจำต้องละทิ้ง มีแต่ขุมทรัพย์ คือ บุญเท่านั้นที่เขาจะนำไปได้”

ขุมทรัพย์ในที่นี้ พระพุทธองค์ทรงหมายเอาบุญกุศล คือ เมื่อได้ทรัพย์มาแล้ว ต้องทำบุญใหม่เพิ่มทุกครั้ง จะทำให้ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทำให้มีขุมทรัพย์ คือ บุญติดตัวกันไปข้ามภพข้ามชาติ เมื่อได้นำทรัพย์ฝากฝังไว้ในพระพุทธศาสนา คือ การทำบุญกับเนื้อนาบุญ จะเป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐที่สามารถติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติได้ ไม่ว่าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือสัตว์เดรัจฉาน บุญนั้นยังตามเกื้อหนุนให้มีความสุขตามอัตภาพที่พึงมีพึงได้ เราอย่าได้เห็นเพียงความสะดวกสบายในชาตินี้และเอาทรัพย์ที่ได้มาไปใช้ทำอย่างอื่นหมด ต้องรู้จักนำออกให้ทานสร้างบุญใหม่ เพราะบุญเก่าที่เราใช้ไปทุกๆ วันมีสิทธิ์หมดได้

การให้ไม่ได้มีเฉพาะเจาะจงแต่ฆราวาสเท่านั้น แม้เป็นนักบวชก็ต้องทำเหมือนกัน เพราะการทำทาน คือ หนทางสวรรค์และเป็นสิ่งจรรโลงใจที่จะทำให้เราปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างสะดวกสบาย จะเป็นประเภทสุขาปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา ปฏิบัติสะดวกบรรลุได้เร็ว ดังเช่นเรื่องราวของพระวิชิตเสนเถระ

ในอดีตชาติ พระวิชิตเสนเถระเป็นผู้ที่ชอบสร้างบุญบารมี รักการทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิปฏิบัติธรรมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เมื่อทำบุญคราใด จะอธิษฐานจิตให้ได้ทำบุญในบุญเขต คือ ในพระพุทธศาสนาเสมอ แรงอธิษฐานนั้นก็เป็นจริงเรื่อยมา ทำให้ท่านมีโอกาสสั่งสมบุญกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งการได้บรรลุมรรคผลนิพพาน

*มก. วิชิตเสนเถรถาคา เล่ม ๕๒/๑๑๘

*ในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี ท่านได้มาเกิดสร้างบารมีด้วย เมื่อโตเป็นหนุ่มได้เห็นการครองเรือนของเพื่อนบ้าน ที่ใช้ชีวิตด้วยความคับแค้น เกิดเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ต้องคลุกคลีกับความเศร้าหมอง ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จึงตัดสินใจเข้าป่าบวชเป็นฤๅษี ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ทำแต่ความเพียรบำเพ็ญพรตปฏิบัติธรรมเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นนิสัยของบัณฑิตที่รักในการประพฤติพรหมจรรย์

วันหนึ่ง โอกาสทองของท่านฤๅษีมาถึง คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี ได้เสด็จเหาะผ่านอาศรมของท่าน ทำให้ท่านฤๅษีได้เห็นพระพุทธองค์ ผู้ทรงรุ่งเรืองด้วยพระฉัพพรรณรังสีที่ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ขณะที่ดวงตาทอดทัสสนาพุทธลีลา ดวงใจก่อเกิดพลังความศรัทธาเลื่อมใสอันยิ่งใหญ่ ได้ยกมือทั้งสองขึ้นประคองอัญชลีเหนือเศียรเกล้า พร้อมกับนอบน้อมระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ จากนั้นได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ขอพระพุทธองค์ ทรงโปรดอนุเคราะห์ข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ปรารถนาจะถวายภิกษา ขอได้โปรดเมตตามารับภิกษาด้วยเถิด”

พระบรมศาสดาทรงทราบวาระจิตของท่านฤๅษี จึงเสด็จลงมาประทับยืนอยู่หน้าอาศรมบทของฤๅษี ท่านฤๅษีเห็นเช่นนั้น ยิ่งเกิดความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้นทับทวี รีบกุลีกุจอจัดแจงอาสนะที่ประทับถวายแด่พระพุทธองค์ น้อมผลไม้ที่รกฟ้ามีรสเลิศที่คัดสรรมาอย่างดีแล้วถวายแด่พระพุทธองค์ ด้วยผลบุญที่ได้ทำในครั้งนี้ ส่งผลให้ท่านฤๅษีเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในสองภพภูมิเท่านั้น คือ ในเทวโลกและมนุษยโลก ไม่มีโอกาสพลัดตกในอบายภูมิเลย

ต่อมาในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้ถือกำเนิดในตระกูลนายหัตถาจารย์ ซึ่งเป็นตระกูลควาญช้างประจำแคว้นโกศล มีชื่อว่าวิชิตเสนะ เมื่อท่านโตเป็นหนุ่ม ได้เห็นนายหัตถาจารย์ผู้เป็นลุง ๒ ท่าน ออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วทั้งสองท่านตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์

วิชิตเสนะหนุ่มน้อยจึงอยากใช้ชีวิตอย่างหลวงลุงบ้าง ไม่อยากครองเรือน แม้ว่าตนจะเรียนศิลปะวิทยาของนายควาญช้างจนจบแล้วก็ตาม แต่อยากจะเจริญรอยตามหลวงลุง ซึ่งเป็นเพราะนิสัยที่เคยออกบวชมาข้ามชาติ ทำให้ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ ยิ่งเมื่อได้เห็นปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงในวาระต่างๆ ทำให้ยิ่งมีความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจออกบวชทันที โดยฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงลุงทั้งสอง

เมื่อบวชแล้ว ท่านรักในการฝึกฝนอบรมตนเอง ถึงพร้อมด้วยศีลาจารวัตรที่งดงาม มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าหลวงลุงทั้งสองจะแนะนำสั่งสอนอะไร ท่านก็รับฟังด้วยความเคารพและนำไปปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ความที่ท่านเป็นพระที่ว่าง่าย ทำให้สามารถปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองได้รวดเร็ว บวชได้ไม่กี่พรรษา กิเลสอาสวะที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานได้ถูกขัดเกลาจนเบาบาง ผลการปฏิบัติธรรมจึงรุดหน้าเรื่อยไป จนในที่สุด ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา

การได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นความปรารถนาที่สูงสุดของมวลมนุษยชาตินั้น ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกด้วยทานบารมีเสมอ ทานบารมีถือได้ว่าเป็นของสากลที่ทุกคนทำได้ และผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก ถ้าอยากเป็นที่รักของมนุษย์และเทวา ให้หมั่นทำทาน ยิ่งให้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเอง ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น แต่อย่าลืมเป้าหมายหลัก คือ ทำทานเพื่อกำจัดความตระหนี่ออกจากใจ ซึ่งมีอานิสงส์ตามมา คือ เมื่อลงมือนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม จะสามารถเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย ดังนั้น เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน อย่าให้ผ่านไปเปล่า ต้องรู้จักฝากฝังทรัพย์ไว้ในพุทธศาสนาด้วยการให้ทาน และสำรวมระวังในการรักษาศีล หมั่นฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่งอยู่ตลอดเวลา จะได้เป็นบุญนิธิ คือ ขุมทรัพย์ที่จะหนุนนำชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและสว่างไสวในสังสารวัฏไปตลอดทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม

ศาสตร์รู้ใจคน

ชาวโลกส่วนมากมักจะคิดว่าทรัพย์ บริวาร อำนาจ ความเป็นใหญ่ เครื่องประดับ สามีภรรยาและบุตรธิดาเป็นต้น จะทำให้มีความสุขแต่ก็ต้องผิดหวังกับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง จึงต้องเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องมีการแสวงหาใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ความสุขล้วนๆ และเป็นตัวตนที่แท้จริงซึ่งสิ่งนี้จะได้มาต้องหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะตรงนี้ เป็นศูนย์รวมของความสุขความบริสุทธิ์ เมื่อหยุดใจไว้ตรงนี้ได้ถูกส่วน ดวงธรรมภายในก็จะชัดใสสว่าง ซึ่งเป็นประดุจประทีปส่องนำทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่ปราศจากทุกข์มีแต่บรมสุขอย่างเดียวเท่านั้น การแสวงหาที่ถูกจุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มีความมหัศจรรย์อย่างนี้ ดังนั้นให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติธรรม หมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง ทำใจให้สงบ แล้วจะพบทางสว่าง พบทางมรรคผลนิพพานกันทุกๆ คน

มีพระพุทธพจน์ใน ขัตติยาธิปปายสูตร ความว่า

ขตฺติยา โข พฺราหฺมณ โภคาธิปฺปายา ปญฺญูปวิจารา พลาธิฏฺฐานา ปฐวีอภินิเวสา อิสฺสริยปริโยสานา

ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดากษัตริย์ทั้งหลายย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร ต้องการครอบครองแผ่นดิน มีความเป็นใหญ่เป็นเป้าหมายสูงสุด”

พุทธพจน์บทนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่า พระบรมครูของเรานั้นทรงรู้แจ้งโลก ทั้งเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต เรื่องที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบันหรือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้กระทั่งเรื่องนิพพานภพสามตลอดถึงโลกันต์ ก็ทรงรู้แจ้งหมด แต่ในฐานะที่เรายังต้องอาศัยอยู่ในสังคม จะต้องพบปะเจอะเจอกับผู้คนต่างๆ ทั้งระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง จึงจำเป็นจะต้องรู้จักศึกษาอัธยาศัยของผู้อื่นไว้ให้ดี แม้ว่าเราจะไม่รู้แจ้งอัธยาศัยเหล่าสัตว์เหมือนพระบรมศาสดา แต่ก็ให้เรา หมั่นศึกษาและฝึกสังเกตเอาไว้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ชนิดที่เรียกว่า เมื่อแรกพบก็ประทับใจ เมื่อจากไปก็ระลึกนึกถึง ดั่งคำสอนที่ว่า เมื่อจะไปเฝ้าพระราชา ไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไปหาตุลาการ แม้กระทั่งไปหาหญิงสาว อย่าได้ไปมือเปล่าต้องมีของฝากติดมือไปด้วย แล้วเราจะชนะใจเขาตั้งแต่แรกพบ สรุปก็คือให้ใช้สังคหวัตถุสี่เข้าหานั่นเอง

วันนี้หลวงพ่อมีเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาอัธยาศัยของมนุษย์ ที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลก แต่มีสอนอยู่เฉพาะในสถาบันพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคตรัสสอนเอาไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง

*มก. ขัตติยาธิปปายสูตร เล่ม ๓๖/๖๘๗

*สมัยหนึ่ง ชาณุสโสณิพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว ก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นก็ทูลถามปัญหาว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ กษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพยากรณ์ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดากษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร ต้องการครอบครองแผ่นดินมีความเป็นใหญ่เป็นเป้าหมายสูงสุด”

พอสิ้นกระแสพระดำรัส ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็อัศจรรย์ใจในคำพยากรณ์ที่ค้างคาใจมานาน บัดนี้ความสงสัยในปัญหานั้น ได้พลันหายไป และกลับได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาแทน จึงได้ทูลถามต่อไปว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในมนต์ ต้องการบูชายัญ มีพรหมโลกเป็นเป้าหมายสูงสุด”

ชาณุสโสณิพราหมณ์ฟังแล้วก็ปิติใจในคำพยากรณ์เป็นอย่างมาก จึงทูลถามต่อว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็คฤหบดีทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ทรงตอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาคฤหบดีทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในศิลปะ ต้องการหน้าที่การงาน มีความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นเป้าหมายสูงสุด”

จากนั้นพราหมณ์ก็ทูลถามเรื่องสตรีว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สตรีทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ธรรมดาสตรี ย่อมประสงค์บุรุษ นิยมเครื่องแต่งตัว มั่นใจในบุตร ต้องการครอบครองสามีแต่เพียงผู้เดียว มีความเป็นใหญ่ในบ้านเป็นเป้าหมายสูงสุด”

พราหมณ์ทูลถามต่อว่า “แล้วพวกโจรล่ะพระเจ้าข้า ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาโจรย่อมประสงค์ลักทรัพย์ของผู้อื่น นิยมที่ลับเร้น มั่นใจในศาสตราต้องการที่มืด ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นตนเป็นเป้าหมายสูงสุด”

ปัญหาข้อสุดท้ายพราหมณ์ได้ทูลถามเรื่องของสมณะว่า “แล้วสมณะทั้งหลายเล่า พวกท่านย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมประสงค์ขันติโสรัจจะ นิยมปัญญา มั่นใจในศีล ต้องการความไม่มีกังวล มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด”

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพยากรณ์ปัญหาทั้งหกข้ออย่างชัดแจ้ง เหมือนหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง และส่องประทีปในที่มืด จนทำให้ชาณุสโสณิพราหมณ์ไม่สามารถเก็บความปลื้มปีติไว้ได้ ถึงกับต้องเปล่งอุทานว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เรื่องไม่เคยมีได้มีแล้ว ท่านพระโคดมผู้เจริญ ย่อมทรงทราบ ความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการและเป้าหมายสูงสุด ของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สตรี โจร แม้กระทั่งของสมณะ พระองค์ก็ทรงทราบ ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด”

จากคำพยากรณ์ทั้ง ๖ ข้อนี้ ทำให้เราได้รู้ถึงอัธยาศัยของบุคคลในแต่ละกลุ่มนี้แล้ว ซึ่งตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการ และเป้าหมายสูงสุด ทั้งที่เป็นของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สตรี และของโจร ยังเป็นความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังแสวงหาความสุขจากโลกียทรัพย์ ติดอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของ อันตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คือเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ยังเป็นทุกข์อยู่ในคุกคือภพสามอีก ยิ่งถ้าเป็นโจรที่ต้องไปลักขโมยไปปล้นจี้ทรัพย์ของผู้อื่น บางครั้งอาจต้องถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์ นับว่าเป็นการทำบาปอย่างมหันต์ อันจะส่งผลให้ต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิอีกนานแสนนาน

แต่สำหรับความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการ และเป้าหมายสูงสุดของสมณะในบวรพระพุทธศาสนาเป็นบทสรุปความรู้ของผู้ที่มีความรู้สมบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อการแสวงหาสิ่งที่ไม่ตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ทั้งในโลกนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ก็เป็นที่พึ่งให้กับเราได้ จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้กับเราจนกว่าจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์เข้าสู่อายตนนิพพาน

ฉะนั้น ความรู้เรื่องความเป็นจริงของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องแสวงหา เพราะการเกิดของมนุษย์ทุกๆ คนนั้น ก็เพื่อแสวงบุญสร้างบารมี มุ่งกำจัดกิเลสอาสวะ เพื่อมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานและที่สุดแห่งธรรม จะได้เลิกการเวียนว่ายเกิด ไปเสวยสุขในอายตนนิพพานอันเป็นบรมสุขที่ไม่มีสุขอื่นใด จะสามารถเปรียบเทียบได้

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

เห็นอริยสัจขจัดทุกข์

ตามธรรมดา เมื่อยังไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งในอริยสัจ สรรพสัตว์ก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จบสิ้น เหมือนเมื่อยังมองไม่เห็นฝั่ง ผู้ที่ตกอยู่ในท้องทะเล ก็ย่อมว่ายวนอยู่ในห้วงทะเลนั้นโดยไม่มีจุดหมาย ชาวโลกทั้งหลายยังขาดเข็มทิศชีวิตที่จะนำพาตนไปสู่จุดหมายปลายทาง คืออายตนนิพพาน ต่อเมื่อได้ต้นทางคือดวงปฐมมรรค ด้วยการหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จึงจะได้เข็มทิศชีวิตนำทางไปสู่อายตนนิพพาน ซึ่งเป็นที่ที่ปราศจากความทุกข์ มีแต่บรมสุขอย่างเดียว พวกเราทุกคนที่ปรารถนาเข็มทิศชีวิต ที่จะนำทางไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งกัน แล้วความสำเร็จก็จะบังเกิดกับเราทุกๆ คน

มีพระพุทธพจน์ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ความว่า

ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ , ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ, ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพํ, ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํ

อริยสัจคือทุกข์ อันเราพึงกำหนดรู้ อริยสัจคือทุกขสมุทัย อันเราพึงละ อริยสัจคือทุกขนิโรธ อันเราพึงทำให้แจ้งอริยสัจคือปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์อันเราพึงบำเพ็ญ”

*มก. ปฐมตถาคตสูตร เล่ม ๓๑/๔๒๐

*แม่บทหรือแก่นแห่งคำสอนที่สำคัญของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจสี่ เป็นหลักธรรมที่เราควรศึกษาและประพฤติปฏิบัติกันให้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ที่ท่านหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ก็เพราะพิจารณาเห็นความจริงอันประเสริฐคืออริยสัจสี่นี่แหละ ซึ่งหลวงพ่อจะค่อยๆ อธิบาย ให้ลูกๆ ได้เข้าใจกันไปทีละข้อ โดยเริ่มตั้งแต่ข้อแรก คือ ทุกข์

ถ้าจะเปรียบทุกข์กับโรค ทุกข์ก็คือสภาพที่ป่วยเป็นโรค ทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่มีความทุกข์กันทั้งนั้น เหมือนกับคนป่วย ที่ไม่รู้ว่าป่วยจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ และจะรักษาให้หายได้อย่างไร ฉะนั้น เราจึงต้องมาศึกษากันให้เข้าใจ จะได้รู้ว่าที่เรามีทุกข์อยู่ทุกวันนี้ มีสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะได้รีบปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์กัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์ จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นพระราชามหากษัตริย์ หรือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม แม้ที่สุดเป็นพระภิกษุก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่ว่ามากหรือน้อย และมีปัญญาพอที่จะแก้ไขหรือไม่เท่านั้นเอง

พระพุทธองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ ทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นสภาพธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ต้องเจ็บและต้องตาย พระองค์ทรงเห็นแจ้งแล้วด้วยพระพุทธญาณ และชี้ให้เราเห็นว่าการเกิดนั่นแหละเป็นทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอจะคลอดก็ถูกความทุกข์บีบคั้น เพราะฉะนั้น เมื่อคลอดออกมาแล้ว สิ่งแรกที่เด็กทำคือร้องไห้จ้าจนสุดเสียง เพราะความเจ็บปวดและการเกิดนี่เองที่เป็นต้นเหตุ เป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ อีกมากมาย ถ้าเลิกเกิดได้เมื่อไหร่ ก็เลิกทุกข์เมื่อนั้น

อย่างที่สองคือทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดจากใจที่เสื่อมคุณภาพ ไม่อาจอดทนต่อเหตุการณ์หรืออารมณ์ภายนอกที่มากระทบได้ ทุกข์จรนี้ ก็ได้แก่ ความโศกเศร้าเสียใจ ความกระวนกระวายใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความท้อแท้เบื่อหน่าย ความอาลัยอาวรณ์ ความขุ่นข้องหมองใจ เสียใจจากการประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก โศกเศร้าเมื่อพลัดพรากจากของรัก ความหม่นหมองจากการที่ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น แต่โดยสรุปเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้น ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ยึดติดอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของนั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่างละเอียดชัดเจนอย่างนี้

สมุทัย ก็คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย มนุษย์ทั่วไปหาสาเหตุของความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆ นานา เช่นว่า เป็นการลงโทษของพระเจ้าผู้สูงสุดบ้าง ของผีสางนางไม้บ้าง แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นแจ้งว่า ที่เรามีทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ สาเหตุมาจากกิเลสที่อยู่ในใจ ได้แก่ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง อยากให้คนยกย่องชื่นชม สรุปก็คืออยากได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ อารมณ์ที่น่าพอใจ ที่ทำให้เราติดอยู่ในกามภพ ส่วนภวตัณหาก็นำไปสู่การติดอยู่ในรูปภพ และวิภวตัณหานำไปสู่การติดในอรูปภพ ความอยากเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ติดอยู่ในภพทั้งสาม

นิโรธ คือความดับทุกข์ หมายถึงสภาพใจที่หมดกิเลสแล้วทำให้หมดตัณหาความทะยานอยาก เมื่อหมดอยากก็หมดทุกข์มีใจหยุดนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย มีแต่ความสุขล้วนๆ เนื่องจากมนุษย์ปฏิบัติไม่ถูกทาง จึงไม่ทราบว่าความดับทุกข์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ได้แต่สมมุติกันขึ้นมา เช่นว่าการได้ไปอยู่บนสวรรค์กับพระผู้สร้างจะทำให้หมดทุกข์ได้ เหมือนคนหิวข้าวแล้วก็สร้างมโนภาพว่า อีกหน่อยจะมีผู้วิเศษเอาข้าวมาให้ ก็พอจะปลอบใจตัวเองไปได้บ้าง แต่ความจริงนั้น แม้จะได้บังเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลกก็ตาม ก็ยังต้องเป็นทุกข์อยู่ดี จะหมดทุกข์ได้อย่างแท้จริง ต้องหมดกิเลสเข้าสู่อายตนนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น

มรรค คือวิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ผู้ที่นิยมนับถือเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มองเหตุแห่งทุกข์เหล่านี้ไม่ออก จึงเชื่อว่าเป็นการลงโทษของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ชัดเจน แล้วก็ตรัสสอนว่า ที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะมีตัณหา ซึ่งเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่ทำให้โรคร้ายลุกลาม ถ้าต้องการหายจากโรค ก็ต้องกำจัดเชื้อโรคนั้นให้หมดไป พระองค์ทรงชี้แนะหนทางคือมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเปรียบเสมือนยารักษาโรค เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ใจหยุดใจนิ่ง และหลุดพ้นจากเชื้อโรคคือกิเลส โดยอาศัยการฝึกจิตตามหลักพุทธวิธีนั่นเอง

เมื่อเราได้ฟังเรื่องอริยสัจสี่กันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอจะรู้แล้วว่า ทุกข์มีอะไรบ้าง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ เราได้รู้วิธีดับทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์หรือการฆ่ากิเลสซึ่งเป็นเหมือนเชื้อโรคร้าย แต่นี่ยังไม่เรียกว่าเห็นอริยสัจสี่ เป็นแต่เพียงรู้จำอริยสัจสี่ได้เท่านั้น จะเห็นอริยสัจได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายแล้วเท่านั้น

การเห็นอริยสัจสี่แปลกกว่าการเห็นอย่างอื่น คือเมื่อเห็นแล้วจะสามารถทำได้ด้วย เช่น เห็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ว่าเกิดจากตัณหา ก็จะเห็นว่าตัณหาควรละ และต้องอาศัยนิโรธเป็นตัวดับตัณหา นิโรธแปลว่าดับหรือหยุด คือหยุดจากความทะยานอยากในตัณหาทั้ง ๓ อย่างเหล่านั้น เมื่อใจหยุด มรรคจึงเกิด ปฐมมรรคที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นดวงกลมใสอยู่ภายใน นั่นแหละคือต้นทางไปสู่เส้นทางที่ไม่ต้องเกิด เพราะเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน

การเห็นอริยสัจสี่นี้ เมื่อเห็นข้อใดข้อหนึ่ง ข้อที่เหลือก็จะเห็นไปตามลำดับ เช่น เมื่อเห็นทุกข์ ก็จะเห็นสมุทัย นิโรธ มรรค เห็นตลอดหมด เพราะไม่ใช่การเห็นด้วยตาหรือการนึกคิด แต่เป็นการเห็นด้วยญาณทัสนะของพระธรรมกาย ผู้ที่สามารถเห็นอริยสัจสี่ได้ คือพระอริยบุคคลและผู้ที่ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย

เมื่อเราได้เข้าถึงพระธรรมกาย เห็นอริยสัจสี่ด้วยญาณทัสนะของพระธรรมกาย เราก็จะเข้าใจความจริงของชีวิตว่ามีแต่ทุกข์ ที่ว่าสุขนั้นแท้ที่จริงก็คือ ช่วงเวลาที่ความทุกข์ลดน้อยลงเท่านั้นเอง เราจะเข้าใจถึงคุณค่าของบุญกุศล เห็นโทษภัยของบาปอกุศล เป็นความเข้าใจในระดับลึกที่มีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ นอกจากเห็นทุกข์แล้ว ยังรู้วิธีขจัดทุกข์ว่าต้องหยุดการทำบาปอกุศล และหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิดของปฐมมรรค เมื่อมรรคเกิดขึ้นแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้นตามมา กระทั่งได้บรรลุโสดาปัตติผลเรื่อยไปจนถึงอรหัตผล นี่คือเป้าหมายหลักของทุกชีวิต ที่ต้องมุ่งไปที่กายธรรมอรหัต ถึงกายธรรมอรหัตเมื่อไหร่ ก็หยุดการเวียนว่ายตายเกิดเมื่อนั้น


หมู่ญาติควรสงเคราะห์

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป บางคนมีฐานะดี ไม่รู้จักความยากลำบาก บางคนยากจนหาเช้ากินค่ำ บางครั้งหาทั้งวันยังไม่ค่อยจะพอกิน ที่เป็นเช่นนี้เพราะบุญกรรมที่ปรุงแต่งไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนปรารถนาเหมือนๆ กัน คือ ความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากจะมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว สิ่งเหล่านี้ที่มนุษย์ต้องการมักจะสมหวังได้โดยยาก เพราะชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ การดำเนินชีวิตเป็นทุกข์ แถมร่างกายยังเป็นรังแห่งโรค เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน จะสร้างบารมีได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้น ความไม่มีโรค จึงถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นสิ่งที่ควรจะมีควบคู่กันไป ซึ่งกำลังกายจะได้มาต้องเคลื่อนไหว แต่กำลังใจจะได้มาต้องหยุดนิ่ง หากจิตใจเราขาดพลังจากการหยุดนิ่งแล้ว เราย่อมสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความสุขที่ละเอียดประณีต ดังนั้น เราต้องขยันหมั่นเพียรในการเจริญสมาธิภาวนา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบทว่า

อาโรคฺยปรมา ลาภา สนฺตุฏฺฐีปรมํ ธนํ

วิสฺสาสปรมา ญาติ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ทรัพย์มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ความคุ้นเคยกันเป็นญาติอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”

หมู่ญาติถือว่าเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ถ้าหมู่ญาติมีความเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ หรือไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เราจะพอช่วยเหลือได้ ควรที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทางใดทางหนึ่งก็ตาม ถ้าเรามีวัตถุสิ่งของให้สงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ ถ้าไม่มีวัตถุสิ่งของ สามารถใช้แรงกายของเราเข้าไปช่วยเหลือได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร การไม่ช่วยเหลือเลยนั้นไม่สมควร

เมื่อเห็นหมู่ญาติเดือดร้อนแล้ว หากเราไม่สนใจนิ่งดูดาย จะดูเป็นคนแล้งน้ำใจ เราต้องแสดงออกถึงความมีน้ำจิตน้ำใจที่ดีต่อหมู่ญาติ อย่าให้คุณธรรมการสงเคราะห์ญาติขาดตกบกพร่องไป เราจะไม่ถูกผู้อื่นว่ากล่าวติเตียนได้ ให้ดูพระพุทธองค์เป็นแบบอย่าง ที่ทรงเหาะเสด็จไปโปรดหมู่พระญาติให้เลิกทะเลาะวิวาทกัน

*มก. นิธิกัณฑ์ในขุททกปาฐะ เล่ม ๓๙/๓๐๒

*ครั้งหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงทราบข่าวว่าหมู่พระญาติระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองโกลิยะเกิดการทะเลาะวิวาทกัน ด้วยเรื่องการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโรหิณีเพื่อไขน้ำเข้านา ถึงขั้นยกทัพมาประจันหน้าจะประหัตถ์ประหารกัน เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องแล้ว จึงทรงเหาะไปประทับนั่งในอากาศกลางแม่น้ำโรหิณี

ครั้นพระญาติทั้งสองฝั่งเห็นพระบรมศาสดาแล้ว ต่างก็วางอาวุธลง แล้วถวายบังคมพระบรมศาสดา พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าพระญาติทั้งหมดเข้ามาหา แล้วตรัสว่า “มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวกันไว้ อย่าได้ทะเลาะวิวาทกัน ถ้าหมู่พระญาติมีความสมัครสมานสามัคคีกันอยู่ ยากที่อริราชศัตรูทั้งหลายจะได้โอกาสเข้ามาทำลาย”

พระบรมศาสดายังตรัสต่อว่า “อย่าว่าแต่ในหมู่มนุษย์เลย แม้ในครั้งอดีตที่ป่าหิมวันต์ เพราะต้นไม้ที่เกิดอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น จึงสามารถต้านทานกระแสลมแรงที่พัดกระหน่ำเข้ามาจากทุกทิศได้ ต้นไม้ทุกต้นไม่ถูกกระแสลมแรงพัดให้หักโค่นล้มลงแม้แต่ต้นเดียว แต่ต้นไม้ใดที่ขึ้นอยู่บนเนิน ถึงจะเป็นต้นไม้ใหญ่ ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสลมแรงที่พัดโหมกระหน่ำมาได้ จะถูกโค่นให้ล้มลงจนหมดสิ้น หมู่พระญาติก็เช่นเดียวกัน ควรที่จะมีความรักความสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า

ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ที่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีเทพบุตรใหม่อุบัติขึ้น ท้าวสักกเทวราชซึ่งปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงดูแลครอบคลุมไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา จึงได้แต่งตั้งเทพบุตรองค์ใหม่ ให้รับตำแหน่งเป็นท้าวเวสสุวรรณมหาราชแทนเทพบุตรองค์เก่าที่จุติไปเกิดใหม่ หลังจากที่เทพบุตรองค์ใหม่ได้รับตำแหน่งเป็นท้าวเวสสุวรรณมหาราชแล้ว ก็ส่งข่าวไปยังเหล่าทวยเทพทั้งหลายว่า ใครอยากจะจับจองต้นไม้ กอไผ่ พุ่มไม้ และเถาวัลย์ ไว้เป็นที่สิงสถิตวิมานของตน ก็ให้เลือกตามความพึงพอใจเถิด

ในชาตินั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดา สิงสถิตอยู่ที่ป่าไม้รังในหิมวันตประเทศ รุกขเทวดาโพธิสัตว์ จึงป่าวประกาศให้บรรดารุกขเทวาที่เป็นหมู่ญาติได้รับทราบด้วยความปรารถนาดีว่า “พวกท่านอย่าได้ไปจับจองต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนเนินสูงมาเป็นวิมาน ขอให้พวกท่านจงได้จับจองต้นไม้ที่ขึ้นอยู่รอบๆ วิมานของเรามาเป็นวิมานเถิด”

เหล่าเทวดาที่เป็นบัณฑิตเข้าใจความปรารถนาดีของพระโพธิสัตว์ จึงพากันจับจองต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดยรอบวิมานของพระโพธิสัตว์ ส่วนพวกรุกขเทวดาที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ต่างก็พูดกันว่า “พวกเราจะจับจองวิมานที่อยู่ในป่านี้ไปทำไมกัน สู้ไปหาจับจองวิมานที่อยู่ตามต้นไม้แถวประตูบ้าน นิคม และตัวเมืองกันจะดีกว่า แล้วจึงได้พากันไปจับจองต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนเนินดินบ้าง ที่ขึ้นอยู่ตามบ้านเรือนในถิ่นของมนุษย์บ้าง

วันหนึ่ง เกิดลมพายุฝนห่าใหญ่พัดกระหน่ำมาอย่างแรง ทำให้ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ขึ้นอยู่บนเนินดินต้านทานกระแสลมแรงไม่ไหว หักโค่นล้มลงระเนระนาด บางต้นถูกกระแสลมพัดถอนทั้งรากทั้งโคน แต่พอกระแสลมฝนได้พัดกระหน่ำมาถึงป่าไม้รัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่รุกขเทวดาโพธิสัตว์และหมู่ญาติของท่านอาศัยอยู่ ซึ่งล้วนเป็นป่าไม้รังที่ขึ้นเรียงชิดติดกันอย่างหนาแน่น แม้กระแสลมจะพัดกระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ต้นไม้เหล่านั้นโค่นล้มลงได้แม้เพียงต้นเดียว

ส่วนเหล่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนเนินดิน ได้ถูกกระแสลมพัดหักโค่นล้มลงจนหมด เมื่อไม่มีวิมานอยู่ จึงพากันเข้าไปป่าหิมพานต์ เล่าเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นให้กับรุกขเทวาที่ป่าไม้รังฟัง พวกเทวดาจึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเล่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง รุกขเทวดาโพธิสัตว์จึงให้ข้อคิดว่า “ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังถ้อยคำของบัณฑิตที่ชี้แนะให้ ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้” พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรมว่า “หมู่ญาติยิ่งมีมากยิ่งมีกำลังมาก เหมือนต้นไม้รังในป่าใหญ่ที่อาศัยอยู่รวมกัน ส่วนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่โดดเดี่ยว ถึงจะเป็นต้นไม้ใหญ่ สักวันต้องถูกโค่นล้มลง”

พระพุทธองค์ตรัสกับหมู่พระญาติทั้งหลายว่า “มหาบพิตรทั้งหลาย หมู่ญาติด้วยกัน ควรที่จะมีความรักความสมัครสมานสามัคคีปรองดองกัน ควรอยู่ร่วมกันด้วยความรักใคร่มีความกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแน่นแฟ้น ราชวงศ์จึงจักมั่นคง” หลังจากที่หมู่พระประยูรญาติได้ฟังพระดำรัสแล้ว ก็เข้าใจ จึงเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับเมืองไป

เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญในการสงเคราะห์หมู่ญาติ เพราะการสงเคราะห์หมู่ญาติเป็นเรื่องที่ควรทำ ถือว่าเป็นมงคลชีวิตอย่างหนึ่ง ถ้าหมู่ญาติของเราเดือดร้อนในด้านใด เราควรสงเคราะห์ในด้านนั้นตามความเหมาะสม แต่ต้องสงเคราะห์ในทางที่ดี ทางที่ไม่ดีหรือทางแห่งความเสื่อม อย่าไปสงเคราะห์ แต่ควรแนะนำให้เลิกทำเสีย ให้ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ที่เป็นสัมมาอาชีวะ หรือที่เป็นทางมาแห่งบุญ เมื่อเราได้ศึกษาธรรมะเข้าใจเรื่องบุญเรื่องบาปดีแล้ว เราก็ควรจะทำหน้าที่กัลยาณมิตร ไปชี้แนะหนทางสว่างให้กับเขา อย่างน้อยจะได้เป็นบุญกุศลติดตามตัวเราไปในภพเบื้องหน้า

วันเสาร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ผลเสียของความอกตัญญู

การนั่งสมาธิเจริญภาวนา เป็นบุญใสใสที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ข้ามพ้นจากความทุกข์ในสังสารวัฏ ผู้รู้ทั้งหลายในอดีตที่ท่านมุ่งมั่นสั่งสมบุญในทุกรูปแบบ ก็เพื่อต้องการหลุดพ้นจากทุกข์นี่แหละ เมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม ก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ขณะที่ยังไม่หมดกิเลสยังสร้างบารมีอยู่นั้น ท่านก็แสวงหาวิธีการเจริญสมาธิภาวนาที่ถูกต้องและถูกกับจริตอัธยาศัย พากเพียรกันเรื่อยมา กว่าจะสมปรารถนา กาลเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปนับเป็นล้านๆ ชาติ ดังนั้น การนั่งสมาธิภาวนาเพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำกันเพียงครั้งสองครั้ง หรือวันสองวัน ก็จะสำเร็จสมปรารถนา ต้องอาศัยบุญบารมี อาศัยเวลา ความเพียรที่ต่อเนื่องและทำถูกวิธี ใจต้องจดจ่อ ไม่ห่างจากศูนย์กลางกาย เส้นทางการบรรลุธรรมกายจึงจะเป็นของเรา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในอกตัญญูชาดก ความว่า

โย ปุพฺเพ กตกลฺยาโณ กตตฺโถ นาวพุชฺฌติ

ปจฺฉา กิจฺเจ สมุปฺปนฺเน กตฺตารํ นาธิคจฺฉติ

ผู้ใดไม่รู้จักคุณความดีและประโยชน์ที่ผู้อื่นทำไว้ก่อน ผู้นั้นเมื่อมีการงานเกิดขึ้นภายหลัง ย่อมหาผู้ช่วยเหลือไม่ได้”

*มก. อกตัญญูชาดก เล่ม ๕๖/๓๑๖

*พระศาสดาเมื่อครั้งประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่มีเพื่อนนักธุรกิจอยู่ชายแดนซึ่งไม่เคยพบเห็นหน้ากันมาก่อนเลย แต่เป็นเพื่อนนักธุรกิจที่ไม่ค่อยมีใจสัตย์ซื่อนัก เป็นประเภทเห็นแก่เม็ดเงินมากกว่ามิตรภาพ ทำให้สัมพันธไมตรีระหว่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและนักธุรกิจท่านนี้ต้องยุติลง เนื่องจากท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เริ่มต้นจากการเป็นนักธุรกิจ ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีมาแต่เดิม หรือว่าเป็นเศรษฐีประเภทมีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง เหมือนดังเช่นท่านโชติกเศรษฐี ชฏิลเศรษฐี หรือเมณฑกเศรษฐี ที่มีสมบัติจักรพรรดิรอคอยอยู่แล้ว ท่านต้องสั่งสมบุญเพื่อคํ้าจุนการประกอบธุรกิจและการดำรงชีพของท่าน อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากหนึ่งสมองสองมือ อาศัยความขยันหมั่นเพียรในการประกอบสัมมาอาชีวะ ฉะนั้น เส้นทางสู่ความเป็นมหาเศรษฐีของท่านนั้น จึงต้องนำสินค้าชนิดต่างๆ บรรทุกใส่เกวียน ๕๐๐ เล่ม แล้วออกเดินทางไปค้าขายตามหัวเมืองต่างๆ เดินทางแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลาแรมเดือน ซื้อมาขายไป จนรํ่ารวยมีทรัพย์สินเงินทอง

ขณะเดียวกัน เงินทองที่หามาได้ ส่วนหนึ่งก็จะนำออกบริจาคทานกับพวกยาจกวณิพกพเนจร และให้คนใช้ทำอาหารแจกคนอนาถาไร้ที่พึ่งเป็นประจำ ความเป็นผู้มีเมตตาและใจกว้างของท่านนี่แหละ จากเดิมชื่อสุทัตตเศรษฐี ก็ได้รับมงคลนามใหม่ว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี หมายถึงเศรษฐีผู้มีก้อนข้าวหรืออาหารแก่คนผู้ไม่มีที่พึ่ง

ด้วยความเป็นผู้มีหัวนักธุรกิจ ท่านรู้ว่า การจะทำธุรกิจให้ก้าวหน้า หรือทำมาค้าขายให้คล่องตัว ประเภทซื้อง่ายขายคล่องกำไรงาม จำเป็นต้องหาสมัครพรรคพวก ผูกมิตรกับพ่อค้าในเมืองต่างๆ ทั้งใกล้และไกลให้ได้มากที่สุด เมื่อมีพรรคมีพวก เส้นทางธุรกิจก็สะดวกสบาย เพราะฉะนั้น ท่านเศรษฐีจึงมีเพื่อนนักธุรกิจหรือพ่อค้ารายใหญ่มากมาย ทั้งที่เห็นหน้าและไม่เคยเห็นหน้า เพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้า หมายถึงว่า ท่านเศรษฐีได้ผูกมิตร ด้วยการฝากของที่ระลึกพิเศษเป็นบรรณาการไปกับพ่อค้าที่จะเดินทางไปค้าขายหัวเมืองนั้นๆ แล้วบอกว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐีฝากมามอบให้ ในโอกาสวันนักขัตฤกษ์ต่างๆ

ฝ่ายเศรษฐีที่อยู่หัวเมือง ครั้นได้รับบรรณาการแล้ว ก็จะฝากของที่ระลึกของตนเอง ซึ่งมีมูลค่ามากบ้าง น้อยบ้าง กลับคืนมามอบให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแทนความระลึกถึงความเป็นเพื่อนผู้ไม่เคยพบหน้ากัน ที่เรียกว่าอทิฏฐสหายจึงบังเกิดขึ้น นอกจากนี้ คำว่าของที่ระลึกหรือบรรณาการที่ส่งมอบให้กันนั้น ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นของพิเศษประจำเมืองนั้นๆ ครั้นท่านเศรษฐีได้รับของที่ระลึกซึ่งเป็นปฏิการคุณตอบแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่า หัวเมืองนั้นมีสินค้าอะไรบ้าง ที่พิเศษๆ กว่าเมืองอื่นที่ชาวกรุงสาวัตถีไม่มี เมื่อต่างคนต่างผูกสัมพันธไมตรีกันอย่างนี้ ครั้นจะลงทุนค้าขาย หรือแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันก็คุยกันง่าย แม้ไม่เห็นหน้า ไม่ได้พูดจา เพียงส่งตัวแทนหรือบริวารไปทำการค้าแทน ก็สามารถซื้อง่ายขายคล่องกำไรงาม นี่ก็เป็นความชาญฉลาดของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เศรษฐีคู่บุญกับพระพุทธศาสนา

ที่นี้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีเศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง ได้เป็นอทิฏฐสหายของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้บรรทุกสินค้าพื้นเมืองจนเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม จากนั้นได้กำชับบริวารว่า “พวกท่านเมื่อไปถึงเมืองสาวัตถีแล้ว จงนำสินค้าเหล่านี้ไปขายให้แก่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นสหายของเรา” จากนั้นก็ส่งบริวารให้ออกเดินทาง เมื่อพ่อค้าพากันเดินทางไปถึงเมืองสาวัตถี ก็มอบของบรรณาการและขายสินค้าให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีตามคำสั่งที่ได้รับมา

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็จัดการให้ที่พักอาศัยเป็นอย่างดี เพราะเห็นว่าเป็นขบวนสินค้าของเพื่อนนักธุรกิจที่อยู่ชายแดน และรับซื้อสินค้าที่พวกพ่อค้าบ้านนอกนำมาขายทั้งหมด ทำให้ไม่ถูกกดราคาและไม่เสียเวลาในการค้าขายนาน ต่อมาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ส่งสินค้า ๕๐๐ เล่มเกวียนไปขายถิ่นนั้นบ้าง

เมื่อบริวารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนำเครื่องบรรณาการไปมอบให้ท่านเศรษฐีบ้านนอก พร้อมกับแจ้งว่าเป็นบรรณาการของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เศรษฐีบ้านนอกรับเครื่องบรรณาการแล้ว ก็ไม่จัดหาที่พักให้ เพราะเกรงว่าจะถูกแย่งลูกค้า เมื่อไม่ได้รับการอำนวยความสะดวก บริวารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ต้องขายสิ่งของกันเอง และก็ยังถูกกดราคาให้ต่ำลงจากพ่อค้าท้องถิ่น เมื่อกลับมายังเมืองสาวัตถีแล้ว ก็แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านเศรษฐีทราบ ต่อมา เศรษฐีบ้านนอกส่งเกวียน ๕๐๐ เล่ม ไปขายที่นครสาวัตถีอีกครั้งหนึ่ง บริวารของเศรษฐีบ้านนอกได้นำบรรณาการไปมอบให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพื่อหวังจะเป็นใบเบิกทางในการค้าขายหรือที่เรียกว่าส่วยในการทำธุรกิจนั่นแหละ

ฝ่ายหัวหน้าพ่อค้าของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นพ่อค้าเหล่านั้นมาก็จำได้ จึงคิดสั่งสอนให้สำนึกว่า คนที่ไม่มีความกตัญญู ไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีจรรยาบรรณของพ่อค้า จะต้องได้รับผลกรรมในปัจจุบันอย่างไร หัวหน้าพ่อค้าจึงบอกว่า “ท่านเศรษฐียังไม่ว่าง เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาพบ” จากนั้นก็สั่งให้พักกองเกวียนไว้ภายนอกพระนคร พอตกกลางคืนพวกโจรรู้ว่าพ่อค้าเหล่านี้เป็นเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงพากันมาปล้นกองเกวียนนั้น ทำให้พ่อค้าผู้ไม่ซื่อสัตย์เหลือแต่ผ้านุ่งเท่านั้น และต่างพากันกลัวตายหลบหนีกลับบ้านเกิดทันที ฝ่ายบริวารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีแม้จะทราบเรื่องก็ไม่คิดจะช่วยเหลือ หลังจากที่พ่อค้าเหล่านั้นหนีกลับบ้านเกิดหมดแล้ว จึงแจ้งข่าวให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทราบ

เราจะเห็นว่า ผู้ใดไม่รู้จักคุณความดีและประโยชน์ที่ผู้อื่นทำไว้ก่อน เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นมาในชีวิต ย่อมหาผู้ช่วยเหลือไม่ได้ เส้นทางการทำมาค้าขายหรือทำธุรกิจก็เช่นกัน จะต้องรักษาความเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต อย่าให้เม็ดเงินตัดสัมพันธ์คุณธรรมน้ำมิตรเด็ดขาด เพราะเม็ดเงินหากได้มาด้วยมิจฉาชีพหรือคดโกงใครมา หรือแม้ไม่คดโกง แต่ทำธุรกิจเดี่ยวๆ รวยคนเดียว ไม่มีพรรคมีพวก พอนานวันเข้า ธุรกิจก็มักจะไปไม่รอด เหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว ลมพายุสามารถพัดล้มได้ง่าย ส่วนผู้มีคุณธรรมน้ำมิตร แม้ไม่รวยทรัพย์แต่ก็รวยน้ำใจ เกาะกันเป็นกลุ่ม ก็เหมือนต้นไม้เล็กที่รวมกันเป็นป่าใหญ่ ย่อมปลอดภัยจากพายุโหมกระหนํ่า ดังนั้นเมื่อเราผูกมิตรกับใครแล้ว ก็ให้รักษาน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกันเอาไว้ อย่าทำลายน้ำใจกัน เมื่อเกิดปัญหาและอุปสรรค เพื่อนๆ จะได้มาช่วยกันแก้วิกฤติให้เป็นโอกาสได้ นี่คือหลักในการทำมาค้าขายย่อๆ