วันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

สัตว์ทั้งหลายคบกันโดยธาตุ

สรรพสัตว์ทั้งหลาย ล้วนต่างปรารถนาความสุขเกลียดชังความทุกข์ แต่ยากที่จะล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้ ความทุกข์เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเกิดของสรรพสัตว์ ตั้งแต่วันแรกเกิดกระทั่งถึงวันที่หลับตาลาโลก ทุกชีวิตล้วนมีความทุกข์เป็นพื้นฐาน จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถ้ามีบุญน้อยก็ทุกข์มากหน่อย มีบุญมากความทุกข์ก็ลดน้อยลงไป เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตว่า ชีวิตเป็นทุกข์อย่างนี้แล้ว เราจะได้เกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์ทั้งหลาย แล้วรีบขวนขวายในการสลัดตนให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งมวล และแสวงหาความสุขที่แท้จริง ซึ่งการปฏิบัติธรรมด้วยการทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่ง เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของผู้ที่ปรารถนาความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในปฐมสขาสูตร ความว่า

มิตรที่ดี ย่อมให้ของที่ดีงาม และเป็นของที่ให้ได้ยาก รับทำกิจที่ทำได้ยาก อดทนต่อถ้อยคำหยาบคาย แม้ยากที่จะอดทนไว้ได้ บอกความลับของตนแก่เพื่อน ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ เมื่อเพื่อนสิ้นโภคสมบัติก็ไม่ดูหมิ่น ฐานะเหล่านี้มีอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้นเป็นมิตรแท้ ผู้ประสงค์จะคบมิตรสหาย ควรคบกับมิตรเช่นนั้นแล”

คนเราจะคบหาสมาคม และมีความรักความสามัคคีกันนั้น บุคคลทั้งสองจะต้องมีอุปนิสัยใจคอ และมีความประพฤติใกล้เคียงกัน มีศีลและทิฐิเสมอกัน ส่วนคนที่ชอบเที่ยวสนุกสนาน จะมีพรรคพวกที่ชอบเที่ยวชอบสนุกสนานเหมือนกัน คนที่ชอบไปวัดฟังธรรม ชอบทำบุญทำกุศล จะคบหากับคนที่ชอบทำบุญเข้าวัดฟังธรรม ส่วนคนชอบดื่มสุราจะมีเพื่อนขี้เมาด้วยกัน มีงานเลี้ยงที่ไหนจะพบเจอกันที่นั่น ส่วนคนชอบเล่นการพนัน ก็จะมีเพื่อนเป็นเซียนพนัน มีบ่อนที่ไหนก็จะเจอกันที่นั้น

สังคมของมนุษย์ จึงแยกกลุ่มไปตามอุปนิสัยของคน ดังตัวอย่างของพระภิกษุ ๒ รูป ที่มีอุปนิสัยใจคอตรงกัน จึงมีความรักความสมัครสมานสามัคคี และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เรื่องมีอยู่ว่า

*มก. สุหนุชาดก เล่ม ๕๗/๕๔

*ในสมัยพุทธกาล ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร มีภิกษุรูปหนึ่ง มีอุปนิสัยใจคอดุร้ายหยาบคาย พระภิกษุสามเณรที่วัดพระเชตวันต่างรู้จักอัธยาศัยของภิกษุรูปนี้เป็นอย่างดี ส่วนวัดที่อยู่ชนบทอีกแห่งหนึ่งก็มีภิกษุที่มีอุปนิสัยใจคอดุร้ายหยาบคายอีกรูปหนึ่งเช่นกัน วันหนึ่งภิกษุชนบทรูปนี้ เดินทางมาที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร พวกภิกษุสามเณรที่วัดพระเชตวันได้ล่วงรู้อัธยาศัยของท่าน จึงไม่อยากให้พักอาศัยอยู่ด้วย แต่ได้นิมนต์ให้ท่านไปพักอยู่กับภิกษุผู้มีอารมณ์ร้ายเหมือนกัน

เหล่าภิกษุสามเณรเมื่อส่งท่านไปแล้ว ต่างหวั่นใจกลัวว่าภิกษุทั้งสองรูปนี้จะทะเลาะโต้เถียงกันลั่นวัด แต่เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด เพราะเมื่อภิกษุทั้ง ๒ รูป เห็นหน้ากันเท่านั้น กลับมีความสนิทสนมคุ้นเคย มีความรักความสมัครสมานสามัคคีกัน พูดคุยกันอย่างถูกคอ ทั้งยังผลัดกันนวดให้กันและกันอีกด้วย ครั้นเหล่าภิกษุรู้เรื่อง จึงสงสัยและพูดคุยสนทนาไปต่างๆ นานา

วันหนึ่ง เหล่าภิกษุได้พูดคุยสนทนากันที่โรงธรรมสภาว่า “ภิกษุทั้งสองรูปนี้ มีใจคอดุร้าย หยาบคายเฉพาะกับบุคคลอื่น แต่ทำไมเมื่อทั้งสองรูปนี้อยู่กุฏิเดียวกัน กลับไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ทั้งยังมีความรักสนิทสนมกันดีมาก” ขณะที่เหล่าภิกษุกำลังสนทนากัน พระบรมศาสดาได้เสด็จมาและตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกำลังสนทนาพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่” เหล่าภิกษุได้กราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ที่ภิกษุทั้งสองรูปนี้ มีอุปนิสัยดุร้ายหยาบคาย แต่พอเห็นหน้ากันแล้วกลับมีความรัก มีความสามัคคี มีความสนิทสนมกัน แม้ในชาติก่อนเธอทั้งสองก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน” เมื่อได้ฟังพระดำรัสดังนั้น เหล่าภิกษุอยากจะรู้เรื่องราวในอดีต จึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ตรัสเล่าให้ฟัง พระบรมศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ สำเร็จราชการทุกอย่างแทนพระราชา ทั้งยังเป็นผู้ถวายอรรถและธรรมให้กับพระราชาอีกด้วย ส่วนพระราชามีอุปนิสัยละโมบในพระราชทรัพย์ และทรงมีม้าอยู่ตัวหนึ่งชื่อมหาโสณะ

วันหนึ่ง พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ นำม้า ๕๐๐ ตัว มาขายที่เมืองพาราณสี พวกอำมาตย์จึงเข้าไปกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ช่วงแรก พระโพธิสัตว์เป็นคนตีราคาม้า จึงตีราคาตามรูปร่างของม้า และตามความเหมาะสม แล้วจ่ายทรัพย์ให้กับพวกพ่อค้าม้าด้วยตนเอง แต่ช่วงหลัง พระราชาเห็นพระโพธิสัตว์ไม่ต่อรองลดราคาม้าลง จึงเกิดความเสียดายพระราชทรัพย์ จึงตรัสเรียกอำมาตย์คนอื่นมาเข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกว่า “ท่านจงไปทำหน้าที่ตีราคาม้า ก่อนจะตีราคาม้า ให้ปล่อยม้ามหาโสณะเข้าไปกัดม้าทั้งหลายให้เป็นแผลเสียก่อน เพื่อจะได้กดราคาม้าลงมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

เมื่ออำมาตย์ได้รับพระบัญชาแล้ว ก็ทำตามพระประสงค์ทันที ฝ่ายพ่อค้าเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นอำมาตย์คนใหม่ปล่อยม้ามากัดม้าของพวกตน แล้วกดราคาม้าลง จึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปหาอำมาตย์พระโพธิสัตว์ ซึ่งมีความคุ้นเคยกันเมื่อตอนมาขายม้าใหม่ๆ พระโพธิสัตว์ได้ถามว่า “ที่เมืองของพวกท่าน มีม้าอย่างม้ามหาโสณะไหม พวกพ่อค้าตอบว่า มีอยู่ตัวหนึ่งชื่อสุหนุ ม้าตัวนี้หยาบคายมาก” พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า “คราวหน้า เมื่อพวกท่านนำม้ามาขายอีก ให้นำม้าตัวนี้เดินทางมาด้วย” พวกพ่อค้าม้าก็รับคำ

เมื่อพวกพ่อค้าชาวเมืองอุตตราบถเดินทางเอาม้ามาขายอีก ก็ได้นำม้าสุหนุติดมาด้วย พระราชาทรงรู้ว่า พวกพ่อค้าชาวเมืองอุตตราบถนำม้ามาขายอีก จึงรับสั่งให้เปิดสีหบัญชร เพื่อทอดพระเนตรดูม้าทั้งหลาย แล้วมีพระบัญชาให้ปล่อยม้ามหาโสณะออกไปทำงานทันที พวกพ่อค้าเห็นม้ามหาโสณะเข้ามากัดม้าของพวกตน จึงรีบปล่อยม้าสุหนุออกไปทันที พอม้าทั้งสองประจัญหน้ากัน ก็กลับเลียตัวให้กันและกัน ไม่ทำร้ายกัน มีท่าทีสนิทสนมกันมาก เหตุการณ์จึงไม่เป็นอย่างที่ตั้งพระทัยไว้

พระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที ได้ตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า “ม้าสองตัวนี้ ทำไมไม่กัดกัน แต่จะดุร้ายหยาบคายกัดเฉพาะม้าตัวอื่น มิหนำซ้ำ ม้าสองตัวนี้เห็นกันแล้ว กลับเลียตัวให้กันและกัน มีท่าทีสนิทสนม เหมือนเคยได้อยู่ร่วมกันมานาน เป็นเพราะเหตุใดหนอ”

พระโพธิสัตว์กราบทูลให้ทรงทราบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ม้าสองตัวนี้มันมีปกติเสมอกัน มีธาตุเสมอกัน” แล้วกราบทูลอธิบายว่า “ม้าทั้งสองตัวนี้ มีความรักสนิทสนมกัน เพราะมีอุปนิสัยดุร้ายหยาบคายเหมือนกัน และยังเสมอกัน ทั้งชอบวิ่ง ชอบคะนอง และชอบกัดเชือกที่ล่ามอยู่เป็นประจำ ความที่มีอัธยาศัยเสมอกัน จึงไม่กัดไม่ทำร้ายกัน” เมื่อพระโพธิสัตว์กราบทูลจบ ก็ถวายโอวาทให้กับพระราชาอีกว่า “ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชาพึงอย่ามีความโลภจนเกินงาม อย่ารังแกผู้น้อย ทำสมบัติของคนอื่นให้เสียหาย ขอให้พระองค์ตีราคาม้า และจ่ายทรัพย์ให้กับพวกพ่อค้าม้าไปตามความเหมาะสมเถิด พระเจ้าข้า” เมื่อพวกพ่อค้าม้าได้ราคาตามเป็นจริง ต่างพากันร่าเริงยินดีกันถ้วนหน้า แล้วพากันกลับเมืองไป

เราจะเห็นได้ว่า คนเราจะอยู่ร่วมกันหรือคบหาสมาคมกันด้วยธาตุในตัว คือ มีอุปนิสัยใจคอตรงกัน มีศีลและทิฐิเสมอกัน มีความประพฤติที่เหมือนๆ กัน จึงสามารถไปด้วยกันได้ คนดีคบหากับคนดี คนพาลก็คบกับคนพาล บัณฑิตนักปราชญ์คบหาสมาคมกับบัณฑิตนักปราชญ์ เพราะเหตุนั้น สังคมจึงแยกกันด้วยความประพฤติที่แตกต่างกันโดยธาตุ เพราะสัตว์ทั้งหลายคบกันโดยธาตุ ดังนั้น เราควรจะมีธาตุที่บริสุทธิ์ คบหาแต่ผู้บริสุทธิ์ มีศีลมีธรรม เพื่อชีวิตของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น: