วันเสาร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ขาดปัญญาปัญหาเกิด

ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในระหว่างการสร้างบารมี เป็นเครื่องวัดกำลังใจและความมุ่งมั่นของเรา บางปัญหาแก้ไขได้ทันที บางปัญหาต้องรอคอยการแก้ไข เพราะปัญหาทุกๆ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม ถ้าใช้ปัญญาปัญหาจะหมดไป ถ้าใจสงบจะพบทางออกและช่องทางแห่งความสำเร็จ เพราะใจที่สงบย่อมเกิดปัญญาแจ่มใส เป็นปัญญาความรอบรู้อันบริสุทธิ์ ที่จะทำให้ตัวเราและชาวโลก หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน การหมั่นฝึกฝนใจให้สงบหยุดนิ่งอยู่ภายใน ทำให้เราเกิดปัญญาที่จะพิชิตปัญหา เราจะเข้าใจทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น และรู้วิธีแก้ไข รวมไปถึงรู้ต้นแหล่งที่มาของปัญหา พร้อมกับรู้วิธีกำจัดปัญหาให้หมดไป ดังนั้น การเจริญภาวนา จึงเป็นกรณียกิจที่สำคัญที่เราจะขาดไม่ได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ชาดก ความว่า

นยํ นยติ เมธาวี อธุรายํ น ยุญฺชติ

สุนโย เสยฺยโส โหติ สมฺมา วุตฺโต น กุปฺปติ

วินยํ โส ปชานาติ สาธุ เตน สมาคโม

นักปราชญ์ย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ย่อมไม่ชักชวนในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ การแนะนำดี เป็นความดีของนักปราชญ์ นักปราชญ์นั้น เมื่อผู้อื่นกล่าวไม่ชอบก็ไม่โกรธ ย่อมรู้จักวินัย การคบหาสมาคมกับนักปราชญ์เป็นความดี”

มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ จะมีบ้างก็ผู้ที่ได้สั่งสมบุญบารมีมาอย่างดีแล้ว ถึงจะรู้หลักในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง แต่คนส่วนมากมักไม่รู้จักหลักในการดำเนินชีวิต ไม่รู้ว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร สิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด เมื่อไม่ได้ศึกษาหาความรู้ และขาดการคบหากับบัณฑิตนักปราชญ์ ชีวิตจึงหลงทาง ทำให้คิดผิด พูดผิด และก็ทำผิดตามมา ทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาด เมื่อขาดปัญญาในการดำเนินชีวิต ปัญหาจึงตามมา ดังเรื่องของพราหมณ์คนหนึ่ง ที่จะยกมาเป็นตัวอย่างนี้

*มก. มังคลชาดก เล่ม ๕๙/๓๐๓

*ครั้งพุทธกาล มีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นชาวเมืองราชคฤห์ มีฐานะร่ำรวย มีโภคทรัพย์มาก แต่พราหมณ์คนนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และเป็นคนเชื่อเรื่องโชคลาง วันหนึ่ง ขณะที่พราหมณ์จะไปอาบน้ำ ได้สั่งให้คนรับใช้ไปเอาผ้าสาฎก ๒ ผืน ในหีบที่ตนเก็บเอาไว้ พอคนใช้ไปเปิดหีบเห็นผ้าสาฎกถูกหนูกัด จึงรีบบอกให้พราหมณ์ทราบ

พราหมณ์ตกใจมาก คิดเลยเถิดไปถึงว่า จะต้องเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นที่บ้านเป็นแน่ เพราะผ้านี้เป็นอัปมงคลเช่นกับตัวกาฬกิณีที่อยู่ภายในบ้าน และผ้านี้จะมอบให้กับบุตรธิดาหรือทาสกรรมกรนำไปใช้ต่อไม่ได้อย่างเด็ดขาด อาจจะเกิดหายนะขึ้น ทางที่ดีจะต้องรีบนำไปทิ้งที่ป่าช้าเป็นการด่วน

พราหมณ์จึงรีบเรียกบุตรชายเข้ามาหา แล้วอธิบายว่า “ผ้านี้เป็นอัปมงคล พ่อไม่ต้องการให้คนอื่นนำไปทิ้งเพราะไม่ไว้ใจ ลูกจงนำผ้าสาฎกนี้ไปทิ้งที่ป่าช้า เวลาลูกเอาไป อย่าใช้มือจับผ้านะ ให้เอาไม้เกี่ยวไป เมื่อทิ้งเสร็จให้รีบอาบน้ำล้างมือให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับเข้ามาภายในบ้าน”

วันนั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจดูเหล่าเวไนยสัตว์ที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด ทรงเห็นพราหมณ์สองพ่อลูกมีบุญบารมีเพียงพอที่จะบรรลุโสดาปัตติผล พระพุทธองค์จึงเสด็จไปประทับยืนรออยู่ที่ประตูทางเข้าป่าช้า ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี เมื่อบุตรของพราหมณ์มาถึง จึงตรัสถามว่า “มาณพ เธอมาทำอะไรที่นี่” บุตรของพราหมณ์ทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นำผ้าสาฎกสองผืนที่ถูกหนูกัดมาทิ้ง พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น จงทิ้งเถิด” หลังจากพราหมณ์ทิ้งผ้าแล้ว พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า “เมื่อเธอทิ้งผ้าแล้ว ผ้าสาฎกก็สมควรแก่ตถาคต” แล้วพระพุทธองค์จึงทรงหยิบผ้าสาฎกนั้นขึ้นมาต่อหน้าบุตรของพราหมณ์ ทั้งๆ ที่พราหมณ์หนุ่มกราบทูลห้ามว่า “ผ้านี้เป็นผ้าอัปมงคล ขอพระองค์อย่าทรงจับเลย พระเจ้าข้า” แต่พระบรมศาสดายังทรงถือผ้าสาฎกเสด็จกลับวัดพระเวฬุวัน

เมื่อห้ามพระพุทธองค์ไม่ได้ จึงรีบกลับบ้านไปบอกพ่อทันที พราหมณ์คิดว่า “ถ้าพระสมณโคดมใช้สอยผ้านั้น ต้องถึงความย่อยยับ แม้พระวิหารจะพังพินาศหมดสิ้น แล้วครอบครัวของเราจะหนีไม่พ้น ต้องถูกชาวบ้านชาวเมืองติเตียน ทางที่ดีเราต้องรีบนำผ้าสาฎกที่ปราศจากมลทิน ไปถวายเปลี่ยนแทนผ้าสาฎกสองผืนนั้น”

คิดแล้วไม่รอช้า สองพ่อลูกรีบไปที่วัดพระเวฬุวัน เข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดา ยืนอยู่ ณ ที่อันเหมาะสม จากนั้นจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ทรงหยิบผ้าสาฎกที่ป่าช้ามาจริงหรือ พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “เราหยิบมาจริง” พราหมณ์จึงกราบทูลว่า “ผ้าสองผืนนั้น เป็นผ้าอัปมงคล พระองค์อย่าใช้ผ้านั้นเลย ถ้าใช้ไปพระองค์จะต้องถึงความย่อยยับเป็นแน่ แม้แต่พระวิหารทั้งหมดนี้ จะถึงความพินาศย่อยยับตามไปด้วย ขอพระองค์โปรดทรงรับผ้าสาฎกผืนใหม่ที่ข้าพระองค์เตรียมมาถวายเถิด พระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดาจึงตรัสกับพราหมณ์ว่า “พวกเราได้ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ผ้าเก่าๆ ที่ใครทิ้งแล้ว หรือตกอยู่ที่ป่าช้าผีดิบ ที่ท้องถนน ที่กองหยากเยื่อ ที่ท่าอาบน้ำ ที่ถนนหนทาง ผ้าเหล่านี้สมควรกับพวกเราทั้งนั้น แต่ตัวท่านมีความเข้าใจผิด มีความเชื่อที่ยังไม่ถูกต้องอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ชาติที่ผ่านมาก็มีความเชื่ออย่างนี้มาก่อน” แล้วพระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า

ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้ามคธราช ครองราชสมบัติโดยธรรมอยู่ที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยแล้ว จึงออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมจนกระทั่งสำเร็จอภิญญาสมาบัติ วันหนึ่งได้ออกจากป่าหิมพานต์มาอยู่ที่พระราชอุทยานในกรุงราชคฤห์ วันที่สองได้ออกบิณฑบาตตามท้องถนนในพระนคร พระราชาทอดพระเนตรเห็น จึงรับสั่งให้คนไปนิมนต์เข้ามานั่งที่ปราสาท ทรงอาราธนาพระโพธิสัตว์ให้พักอาศัยอยู่ที่อุทยานตลอดไป เมื่อพระโพธิสัตว์ฉันอาหารเสร็จได้กลับไปพักที่อุทยานตามเดิม

ในกรุงราชคฤห์นี้ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าทุสสลักขณะ เป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะของผ้าเป็นอย่างดี และได้เก็บผ้าสาฎกสองผืนเอาไว้ในหีบแต่ถูกหนูกัด จึงได้ให้ลูกชายนำไปทิ้งที่ป่าช้า พระโพธิสัตว์ซึ่งได้ไปหาผ้าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นมาณพนำผ้าสาฎกมาทิ้ง จึงเดินไปหยิบขึ้นมา มาณพเห็นแล้วกลับไปบอกพ่อ พราหมณ์จึงรีบเดินทางไปที่อุทยาน แล้วกล่าวห้ามพระโพธิสัตว์ว่า “อย่าใช้ผ้าสาฎกสองผืนที่หนูกัดแล้วเลย เพราะกลัวว่าหายนะจะเกิดขึ้น”

พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมให้กับพราหมณ์ฟังว่า “ผ้าเก่าๆ ที่เขาทิ้งไว้ที่ป่าช้า สมควรกับพวกเรา พวกเรามิใช่พวกที่เชื่อเรื่องโชคลางหรือถือมงคลตื่นข่าว การถือมงคลตื่นข่าว พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สรรเสริญ บัณฑิตที่แท้จริง เขาไม่ถือมงคลตื่นข่าวหรอกพราหมณ์” พราหมณ์ฟังแล้วจึงเข้าใจ และยอมเลิกถือความเชื่อเก่าๆ ที่ตนได้รับมาจากบรรพบุรุษ

เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติจบ จึงแสดงพระธรรมเทศนาว่า “ผู้ใดที่ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว ครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ อันเป็นประดุจคูกั้นน้ำ ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก” พราหมณ์สองพ่อลูกฟังธรรมแล้ว มีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน

เราจะเห็นได้ว่า คนเราถ้าเชื่อถือผิดๆ โดยขาดปัญญา จะทำให้เกิดความสูญเสียในสิ่งที่ไม่ควรเสีย มิหนำซ้ำ ยังจะทำให้ชีวิตดำเนินไปในทิศทางที่ผิดพลาด เพราะมีความเห็นผิดเป็นพื้นฐาน วินิจฉัยจึงผิดพลาด ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ด้วยความมืดมน ดังนั้น เราจึงควรที่จะศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ควรคบหาบัณฑิตนักปราชญ์ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง

ไม่มีความคิดเห็น: