วันเสาร์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการเลือกให้

การเจริญสมาธิภาวนา เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จ เป็นทางมาของสติและปัญญา ที่จะทำให้เรามีความเฉลียวฉลาด ตลอดจนปฏิภาณไหวพริบแกล้วกล้า สามารถศึกษาเล่าเรียน และประกอบกิจการงานต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว บังเกิดผลสำเร็จเป็นอัศจรรย์ เมื่อเราเจริญภาวนาจนกระทั่งใจหยุดนิ่งหยั่งลงสู่ศูนย์กลางกายอันเป็นต้นแหล่งแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราจะเบิกบานผ่องใส เป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จทั้งมวล และยังช่วยให้เราสามารถรอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยในอบายภูมิ ตลอดจนภัยในสังสารวัฏ สิ่งเหล่านี้ เป็นอานิสงส์ของการเจริญสมาธิภาวนาที่เราจะได้รับไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งเข้าสู่อายตนนิพพานกันทีเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพุทธวรรควรรณนา ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า

บุคคลให้ทานในเขตใดแล้วมีผลมาก พึงเลือกให้ทานในเขตนั้นเถิด เพราะการเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลให้แล้วในทักขิไณยบุคคลทั้งหลายย่อมมีผลมาก เหมือนบุคคลหว่านพืชลงในนาดีฉะนั้น”

“ทาน” หมายถึงการให้ การสงเคราะห์ช่วยเหลือแบ่งปัน ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องดีงาม เพราะการให้เป็นคุณธรรมที่เกื้อกูลระหว่างชีวิตต่อชีวิต เป็นพื้นฐานความดีของมนุษยชาติ เป็นการสร้างความดีที่ง่ายที่สุด แต่กลับส่งผลดีให้แก่ชีวิตเราอย่างมากมาย

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญการเลือกให้ คือก่อนจะให้ควรเลือกของที่จะให้ว่า สมควรหรือไม่ โดยเลือกให้แต่ของที่ดีของที่ประณีต ของนั้นต้องได้มาด้วยความสุจริต ถ้าให้ของดียิ่งกว่าที่ตนใช้ เวลาบุญส่งผลก็จะได้ของที่ประณีต ของที่ดีเลิศ แต่อย่างน้อยก็ควรให้ของในระดับเดียวกันกับที่ตนใช้อยู่ และต้องดูด้วยว่าจะให้กับใคร ทานนั้นจึงจะมีผลมาก ถ้าให้กับทักขิไณยบุคคลผู้เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ผลบุญก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล เหมือนชาวนาผู้ฉลาดในการทำนาต้องคัดพันธุ์ข้าวที่ดี หว่านข้าวลงในนาดี มีน้ำดี มีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ เมื่อทำอย่างนี้ เขาจึงจะได้รับผลผลิตที่คุ้มค่าแก่ความเหนื่อยยาก ดังเรื่องของเทพบุตรผู้ที่ฉลาดในการเลือกให้ทาน

มก. อังกุระเทพบุตร เล่ม ๔๓/๓๓๔

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ได้เสด็จโปรดพระพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ขณะประทับ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ทรงมีพระรัศมีแผ่กว้างครอบคลุมหมู่เทวดาทั้งหลาย เทพบุตรพุทธมารดาก็เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ประทับในที่เบื้องขวาของพระพุทธองค์ อังกุรเทพบุตรนั่งอยู่ในที่เบื้องซ้าย แต่เมื่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทยอยกันมาเฝ้าพระพุทธองค์ อังกุรเทพบุตรก็ต้องถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ถอยไปจนถึงท้ายสุดในที่ประชุมนั้น ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ขณะที่เทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ชื่ออินทกเทพบุตร มานั่งเช่นไรในตอนแรกก็ยังคงนั่งอยู่ในที่เดิมเช่นนั้น

พระพุทธองค์ทอดพระเนตรเทพบุตรทั้งสองแล้ว มีพระประสงค์จะประกาศความแตกต่างกัน ระหว่างทานที่บุคคลถวายแด่ทักขิไณยบุคคลในศาสนาของพระองค์ กับทานที่บุคคลให้แล้วแก่โลกียมหาชน จึงตรัสถามอังกุรเทพบุตรว่า

“ดูก่อนอังกุระ ท่านให้ทานมาเป็นเวลานานถึง ๑๐,๐๐๐ ปี ก่อเตาหุงข้าวยาวเป็นแถวถึง ๑๒ โยชน์ทุกวัน แต่เมื่อมาสู่สมาคมของเรา ท่านกลับต้องนั่งห่างออกไปถึง ๑๒ โยชน์ ไกลกว่าเทพบุตรทั้งปวง นั่นเป็นเพราะเหตุใด ?”

อังกุรเทพบุตรกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้บริจาคทานมากมายในสมัยที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นทานที่ให้แก่มหาชนทั่วไป คือให้ทานในเวลาที่ปราศจากทักขิไณยบุคคล ส่วนอินทกเทพบุตรนี้ แม้ถวายทานเพียงน้อยนิด เพียงข้าวทัพพีเดียว แต่เพราะได้ทำถูกทักขิไณยบุคคล จึงรุ่งเรืองกว่าข้าพองค์ เหมือนดวงจันทร์รุ่งเรืองกว่าหมู่ดาวฉะนั้น”

พระศาสดาจึงตรัสถามอินทกเทพบุตร ผู้นั่งอยู่กับที่มิได้เคลื่อนย้ายไปไหนเลย อินทกเทพบุตรจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ถวายทานแด่ทักขิไณยบุคคล ดุจบุคคลหว่านพืชแม้น้อยลงในเนื้อนาดีผลย่อมงอกงามไพบูลย์” และเพื่อจะประกาศความสำคัญของทักขิไณยบุคคล จึงกราบทูลต่อไปว่า

“พืชแม้มากที่บุคคลหว่านลงในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ชาวนาเองก็ไม่ปลื้มใจฉันใด ทานแม้มีมากที่บุคคลให้แล้วในผู้ทุศีล ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทายกก็ไม่ปลื้มใจฉันนั้น ส่วนพืชแม้น้อย ที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี ย่อมมีผลไพบูลย์ ชาวนาก็ปลาบปลื้มยินดีฉันใด ทานเล็กน้อยที่บุคคลทำในบุญเขต ในท่านผู้มีศีล มีคุณธรรมที่มั่นคง ย่อมอำนวยผลไพบูลย์ ยังบุคคลผู้ให้นั้น ย่อมให้ชื่นชมยินดี ฉันนั้น”

ทำไมอินทกเทพบุตรจึงพูดอย่างนี้ เพราะอินทกเทพบุตรนั้น เมื่อครั้งที่เป็นมนุษย์ ได้ถวายข้าวเพียงทัพพีเดียวแด่พระอนุรุทธเถระ ผู้เป็นอรหันตสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญนี้ย่อมมีผลมากกว่าทาน ที่อังกุรเทพบุตรเคยทำแล้วในอดีตชาติ คือได้ก่อเตาไฟหุงข้าวเป็นแถวยาวถึง ๑๒ โยชน์ เพื่อบริจาคในทุกๆ วันแก่คนธรรมดาทั่วไปถึง ๑๐,๐๐๐ ปี เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลแล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสกับอังกุรเทพบุตรว่า

“ธรรมดาการให้ทาน ควรพิจารณาก่อนแล้วจึงให้ ทานนั้นย่อมมีผลมาก เหมือนการหว่านพืชลงในนาดี แต่เธอหาได้ทำเช่นนั้นไม่ เหตุนั้นทานของเธอจึงมีผลไม่มาก ส่วนทานที่บุคคลให้แล้วในเขตใดมีผลมาก ควรพิจารณาแล้วให้ในเขตนั้นเถิด เพราะการพิจารณาก่อนแล้วจึงให้ เราตถาคตย่อมสรรเสริญ ทานที่ให้แล้วในทักขิไณยบุคคล ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคลหว่านลงในนาดี ฉะนั้น”

จากเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ทานจะให้ผลอันไพบูลย์ได้ ก็ต่อเมื่อถวายแด่ผู้รับที่บริสุทธิ์ เป็นทักขิไณยบุคคล ผู้รับจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ทานนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด และทำให้เกิดกำลังใจแก่ผู้ให้

ดังนั้น เราควรทำทานให้บริสุทธิ์ ครบองค์ประกอบของการให้ทั้ง ๓ อย่าง คือ วัตถุบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ทั้งก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากให้แล้ว และบุคคลบริสุทธิ์ทั้งผู้รับและผู้ให้ ย่อมได้ผลบุญมาก

พอเราถวายทานขาดจากใจเท่านั้น ศูนย์กลางกายของเรา ก็จะมีอายตนะของบุญบังเกิดขึ้น เป็นดวงใสบริสุทธิ์ ปุญญาภิสันทาท่อธารแห่งบุญก็หลั่งไหลมาจากอายตนนิพพาน มาจรดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของเรา ตามความบริสุทธิ์ของใจที่หยุดนิ่งตามกำลังของความปีติ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย

ถ้าเลื่อมใสมากก็สว่างมาก เลื่อมใสน้อยบุญก็ลดหย่อนไปตามส่วน แล้วกระแสบุญที่ใสสว่างบริสุทธิ์นี้ ก็จะเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น ทำให้เราได้มีรูปสมบัติที่งดงามแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ มีอายุขัยยืนยาว ถ้าหากบารมีเต็มเปี่ยมก็งามไม่มีที่ติ ได้ลักษณะมหาบุรุษ ถ้าบารมีลดหย่อนลงมา รูปสมบัติของเราก็ลดหย่อนลงมาตามลำดับ

อีกทั้งบุญนั้นก็ยังทำให้เกิดทรัพย์สมบัติ ทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง เกิดขึ้นมาจากบุญบันดาล กระแสแห่งบุญนี้จะไปดึงดูดโภคทรัพย์สมบัติทั้งหลายเข้ามาหาตัวเรา เอาไว้สำหรับ หล่อเลี้ยงสังขาร พวกพ้องบริวารและก็เพื่อการสร้างบารมี

นอกจากนี้บุญยังก่อให้เกิดคุณสมบัติ คือความรู้ความเฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณคล่องแคล่ว คุณสมบัติต่างๆ ก็จะบังเกิดขึ้น เพื่อใช้ในการปกครองตน ปกครองคน ปกครองงาน และก็สร้างบารมี รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ เกิดขึ้นมา เพราะกระแสธารแห่งบุญนี้ดลบันดาลให้เกิดขึ้น ดึงดูดให้เกิดขึ้น

ความสมบูรณ์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน ก็เกิดขึ้นมาด้วยกระแสแห่งบุญนี่แหละ เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว จะต้องสร้างกันให้มากๆ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ความสุขความสำเร็จก็จะยิ่งเกิดขึ้นมาก และหมั่นรักษาใจของเราให้อยู่ในแหล่งของบุญ คือที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้อยู่ที่ตรงนี้ตลอดเวลาเลย

ไม่มีความคิดเห็น: