วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

เชื่อคำครูคํ้าชูชีวิตตน

ปัญญา คือ แสงสว่างของชีวิต โดยเฉพาะปัญญาความรอบรู้ และเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม จะเป็นแสงสว่างส่องนำทางชีวิต ให้สามารถดำเนินไปในสังสารวัฏได้ถูกต้องปลอดภัย การจะมีปัญญาอย่างนี้ได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครูดี ที่สามารถสอนให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของชีวิตได้ ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น พระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครูประเภทนี้ ที่ทรงประกาศพระสัทธรรม แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายตลอด ๔๕ พรรษาหลังจากตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไม่ให้ประมาทในการดำเนินชีวิต ทรงใช้หลักอนุสาสนีปาฏิหารย์ คอยกระตุ้นให้สรรพสัตว์รักในการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนั้น เราต้องเป็นพุทธบริษัทที่ดี ให้สมกับความมีโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นสาวกของพระองค์ ด้วยการหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งให้ได้ทุกวัน เพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ชีวิตเรา มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในเถรคาถาปทาน ว่า

ผู้ใดเป็นธีรชน เป็นผู้รู้ถ้อยคำของครูทั้งหลาย อยู่ในโอวาทของครู และยังความเคารพให้เกิดในโอวาทของครู ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ภักดี ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้ธรรมทั้งหลาย อันตรายอันร้ายแรงย่อมไม่เกิดขึ้นแก่เขา บุคคลนั้นชื่อว่ามีกำลัง ชื่อว่าเป็นบัณฑิต และพึงเป็นผู้วิเศษเพราะรู้ธรรมทั้งหลาย”

การมีความเคารพเชื่อฟังต่อครูอาจารย์ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการแสวงหาความรู้ใส่ตัว เพราะครูเปรียบเสมือนแสงสว่างส่องนำทาง คอยแนะนำพรํ่าสอนให้ลูกศิษย์ได้เข้าใจในศาสตร์ต่างๆ การตระหนักถึงคุณค่าของครูอาจารย์ ที่จะมาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ลูกศิษย์จะต้องมีความเคารพในวิชาที่เรียนและครูที่มาสอน ด้วยการตั้งใจศึกษา ตั้งใจฟัง ตั้งใจจำ และนำไปปฏิบัติ เมื่อมีโอกาสก็แสดงความเคารพต่อท่านทั้งทางกาย วาจา และใจ ทั้งต่อหน้า และลับหลัง เมื่อจะศึกษาเรื่องใดก็ศึกษาให้ถึงแก่น ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้ในภายภาคหน้า

บัณฑิตนักปราชญ์แม้ท่านจะมีความรู้มากอยู่แล้ว ท่านจะเพิ่มคุณธรรมให้สูงขึ้น ด้วยการมีความเคารพเชื่อฟังในครูบาอาจารย์ จะไม่ดูถูกดูแคลนครูของตน และชีวิตของผู้อยู่ในโอวาทของครูจะไม่มีวันตกต่ำ แล้วความรู้ใดๆที่ครูมี จะได้รับการถ่ายทอดอย่างเต็มที่ โดยจะไม่ปิดบังอำพรางเลย เพราะฉะนั้น ศิษย์ที่เชื่อฟังคำของครู จะประสบแต่ความสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการงานได้โดยง่าย

ส่วนในทางธรรม หากเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมีความเคารพ ต้องเป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนของพระบรมศาสดา ด้วยการไม่ทำความชั่วทุกชนิด ทำแต่สิ่งที่เป็นความดีเป็นบุญเป็นกุศล เพื่อใจจะได้ไม่ไหลลงสู่บาปธรรม ซึ่งเป็นของต่ำทราม และที่สำคัญจะต้องทำจิตให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส สาวกองค์ไหนที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เคารพในคำสอนของครูอย่างแท้จริง เหมือนดังเรื่องของพระอรหันตเถระชื่อว่า โกสิยะ ที่ท่านสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต จากปุถุชนมาเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะท่านอยู่ในโอวาทของครูอาจารย์

หลายกัปที่ผ่านมา พระโกสิยเถระท่านได้สั่งสมบุญบารมีอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาโดยลำดับ ทั้งทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา มากบ้างน้อยบ้าง แต่ท่านทำอย่างสมํ่าเสมอไม่เคยได้ขาด แม้ในบางโอกาสของชีวิตที่มีทรัพย์น้อย ท่านก็ทำอย่างเต็มกำลัง ไม่เคยท้อถอย ท่านเป็นยอดนักสร้างบารมี ที่เป็นทั้งต้นบุญและต้นแบบของพุทธมามกะในทุกยุคทุกสมัย

ต่อมาในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ท่านได้บังเกิดในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งประจำหมู่บ้าน ณ เมืองพันธุมดี พอเติบโตเป็นหนุ่ม ได้สมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ใครที่จะเข้าจะออกประตูเมือง จะต้องผ่านการตรวจสอบจากท่านก่อน วันหนึ่งขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ท่านได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีฉัพพรรณรังสีอันสว่างไสว ได้เสด็จเข้ามาโปรดชาวเมือง จึงปลื้มปีติเป็นอย่างมาก อยากจะทำบุญกับพระพุทธองค์ แต่ในขณะนั้น ท่านมีเพียงอ้อยท่อนเดียวเท่านั้น และเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธองค์อีก จึงรีบนำอ้อยท่อนนั้น น้อมถวายพระพุทธองค์ทันที เมื่อพระบรมศาสดารับท่อนอ้อยแล้ว จึงเสด็จไปโปรดชาวเมืองต่อไป

ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผู้มีใจงดงามนี้ พอได้ทำบุญแล้ว ปลื้มปีติเป็นอย่างมาก จึงทำให้มีโอกาสตามระลึกถึงบุญนี้อยู่เป็นประจำ นึกถึงทีไรจะปลื้มปีติทุกครั้งไป ปลื้มจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตทีเดียว คือ ชีวิตของคนๆ หนึ่ง ในแต่ละชาติที่มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ หรือบุญที่พิเศษๆ นั้น มีเพียงไม่กี่ครั้ง แต่บุญที่ปลื้มเป็นพิเศษจะมีแต่บุญที่ตนทำแล้วประทับใจไม่รู้ลืมเท่านั้น ด้วยบุญที่หนุ่มตรวจคนเข้าเมืองได้ทำเอาไว้ดีแล้ว จึงประคับประคองให้ท่านเวียนว่ายตายเกิดในสุคติภูมิ และในระหว่างเวียนว่ายตายเกิดนั้น ท่านได้สั่งสมบุญในด้านต่างๆ อันเป็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพานไปด้วย

พอมาในยุคพุทธกาล ท่านถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ มีชื่อว่าโกสิยะ เมื่ออยู่ในวัยเด็กมีอัธยาศัยใฝ่ศึกษา ท่านไปเรียนธรรมะกับพระสารีบุตรเถระซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านปัญญา เมื่อได้ศึกษาธรรมะมากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน ทำให้มีปัญญา สามารถพิจารณาถึงความเป็นจริงของชีวิตว่า เป็นของไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ ไร้สาระแก่นสาร ในที่สุด ท่านจึงตัดสินใจออกบวชโดยมีพระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้คอยปรนนิบัติรับใช้ไม่ห่าง ทำตามที่พระอุปัชฌาย์สอนสั่งโดยไม่มีมานะทิฐิ ท่านเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพพระเถระทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขณะเดียวกัน เป็นผู้ที่ใฝ่ในการทำสมาธิภาวนาเป็นพิเศษ เมื่อมีข้อขัดข้องสงสัยในเรื่องการทำใจหยุดนิ่ง พระเถระจะแนะนำให้เข้าใจ เพียงไม่กี่วันหลังจากบวช ท่านสามารถขจัดอาสวกิเลส จนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

ความเคารพต่อครูบาอาจารย์ ทำให้ชีวิตพบกับความสว่างไสว เพราะได้อาศัยครู จึงอุ้มชูให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ครู คือ บุคคลสำคัญของโลกสำหรับศิษย์ทุกๆ คน เพราะเป็นผู้ให้อริยสมบัติที่ยิ่งกว่าสมบัติจักรพรรดิ ที่กินใช้เท่าไรไม่รู้หมดสิ้น ศิษย์ที่มีครูดีและเคารพเชื่อฟัง ดำรงตนอยู่ในโอวาท ย่อมสามารถพัฒนาจิตใจให้สูงส่งได้โดยไม่ยาก

ในยุคปัจจุบัน เราจะสังเกตเห็นว่า นักเรียนไม่ค่อยให้ความเคารพต่อครูอาจารย์เท่าที่ควร บางคนเปรียบเปรยครูว่าเป็นเหมือนเรือจ้าง คือ เห็นเพียงแค่ว่า ครู คือ ลูกจ้าง ที่ถูกจ้างให้มาสอนหนังสือ มีเงินเดือนที่เกิดจากตัวเองได้จ่ายค่าเทอม จึงไม่ให้ความเคารพ ใครที่คิดอย่างนี้ ขอให้คิดใหม่ เพราะถือว่าเป็นการลบหลู่ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาให้เรา อาจารย์ที่สอนด้วยจิตวิญญาณ ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก ปรารถนาอยากให้ลูกศิษย์มีความรู้คู่คุณธรรม เป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ที่ดีของลูกศิษย์นั้น ยังมีอยู่มาก ถ้าเราเป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยความเคารพ ท่านจะสอนเราอย่างหมดภูมิทีเดียว นอกจากสอนวิชาการที่ท่านได้ศึกษาค้นคว้ามาทั้งชีวิตแล้ว ยังจะสอนให้เรามีคุณธรรม เป็นคนดีที่โลกต้องการ เป็นคนเก่งและดีอีกด้วย

บัณฑิตนักปราชญ์ในสมัยก่อน ท่านมีความเคารพในครูอาจารย์มาก เมื่อเรียนศิลปวิทยาจะตั้งใจศึกษาด้วยความเคารพ ทำให้สามารถเรียนรู้จนหมดภูมิรู้ของครูอาจารย์ ดูอย่างพระบรมโพธิสัตว์ของเรา ขณะที่กำลังบำเพ็ญปัญญาบารมีอยู่นั้น เมื่อท่านจะศึกษาความรู้จากใคร แม้พระองค์จะเป็นถึงพระราชา ส่วนผู้สอนเป็นเพียงคนจัณฑาลมีฐานะต่ำต้อย แต่ทรงรับฟังและเรียนด้วยความเคารพ ทำให้พระองค์เป็นประดุจมหาสมุทรแห่งปัญญา เพราะฉะนั้น พวกเราผู้เป็นพุทธสาวกก็เช่นกัน ต้องมีความเคารพต่อครูอาจารย์ จะได้เป็นทางมาแห่งปัญญาอันสว่างไสว มีความสุขความเจริญในชีวิตยิ่งๆ ขึ้นไป

วันอังคารที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

กัลยาณมิตรดุจเข็มทิศของชีวิต

การจะดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ในภาวะของความเป็นมนุษย์นั้น สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ จะต้องมีกัลยาณมิตร การได้รับคำแนะนำและการประคับประคองจากกัลยาณมิตร จะทำให้ชีวิตที่มืดมนกลายมาเป็นสว่างไสวได้ เพราะกัลยาณมิตร คือ แสงสว่างส่องทางให้ก้าวไปสู่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น หรือหากมีอุปสรรค จะสามารถก้าวข้ามไปได้ การได้กัลยาณมิตรถือว่าเป็นมงคลของชีวิตอย่างยิ่ง เพราะทำให้สามารถดำรงตนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีคุณค่า ทั้งต่อตนเองและสังคม กัลยาณมิตรภายนอก คือ สัมมาทิฏฐิบุคคล ที่แนะนำในเรื่องกฎแห่งกรรม ให้เราเข้าใจเป้าหมายของการเกิดมา ว่าจะต้องทำพระนิพพานให้แจ้งแสวงบุญสร้างบารมี ส่วนกัลยาณมิตรภายใน คือ พระธรรมกายในตัว ซึ่งจะเข้าถึงได้ด้วยการทำใจหยุดใจนิ่ง ฉะนั้น เราต้องหมั่นปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนากันเป็นประจำ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในอุปัฑฒสูตร ความว่า

ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น พึงทราบโดยปริยายนี้ คือ เหล่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชาติ ผู้มีชราเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากชรา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากมรณะ ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นนั้น พึงทราบโดยปริยายนี้แล”

สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในกำเนิดใด จำเป็นจะต้องมีกัลยาณมิตรทั้งสิ้น เมื่อมีกัลยาณมิตรแนะนำให้เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว จะสามารถเข้าใจเป้าหมายของการมาเกิด ซึ่งเป็นเหตุให้มุ่งแสวงหาทางพ้นทุกข์ ดังนั้น กัลยาณมิตรจึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราต้องเสาะแสวงหา และหมั่นไปมาหาสู่ด้วย กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของชีวิตอันประเสริฐ เพราะได้ต้นบุญต้นแบบในการพัฒนากาย วาจา ใจ ให้สมบูรณ์ขึ้น จนกระทั่งทำให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส

เนื่องจากระยะเวลาการสร้างบารมีระหว่างผู้ที่หวังพุทธภูมิกับสาวกภูมินั้น มีความแตกต่างกันมาก พระโพธิสัตว์ผู้มุ่งตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต้องใช้เวลาสร้างบารมีอย่างน้อย ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป ถ้าวัดกันเฉพาะช่วงที่เป็นนิยตโพธิสัตว์จะใช้เวลาอย่างน้อย ๔ อสงไขยแสนมหากัป ส่วนสาวกภูมิใช้เวลาสร้างบารมีอย่างมาก ๑ อสงไขยแสนมหากัป เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งได้ด้วยตัวเอง มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นอนุพุทธะ คือ ผู้ตรัสรู้ตาม เมื่อมุ่งทำพระนิพพานให้แจ้ง จึงต้องอาศัยกัลยาณมิตร เพราะผู้ที่อยู่ในสาวกภูมิไม่อาจทำพระนิพพานให้แจ้งได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากบารมีธรรมต่างกันมาก

การจะได้บรรลุธรรมหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ใช่ของง่าย ต้องได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ หรือแม้ไม่ได้ฟังโดยตรง อาจฟังต่อๆ กันมา เหมือนดังพระโมคคัลลานะได้เป็นพระโสดาบันเพราะฟังธรรมจากท่านพระสารีบุตร ส่วนพระสารีบุตรได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิเถระ พระอัสสชิเถระผู้ได้สำเร็จเป็นอรหันต์รุ่นแรกของโลก เพราะฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมดนี้ คือ เครื่องยืนยันความสำคัญของการมีกัลยาณมิตร ว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์อย่างไร

หลวงพ่อมีตัวอย่างของพระอรหันตเถระรูปหนึ่ง ท่านได้ดำเนินชีวิตผิดพลาด เหมือนขังตัวเองอยู่ในที่มืด แต่เมื่อได้พระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ชีวิตของท่านจึงได้พบความสว่างไสว เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

ย้อนอดีตไปหลายกัปที่ผ่านมา พระเถระรูปนี้เคยสร้างบุญบารมีมาไม่น้อย ชีวิตของท่านเหมือนกับผู้คนทั่วไป ที่เกิดอยู่ในหลายๆ ฐานะ ตามกำลังบุญที่ได้ทำเอาไว้ คือ ชาติไหนที่ทำบุญไม่มาก จะไปเกิดในครอบครัวชนชั้นล่าง ที่ทำบุญมากขึ้นมาหน่อยจะเกิดเป็นชนชั้นกลาง หรือถ้าได้ทำบุญมากเป็นพิเศษ บุญกุศลจะส่งผลให้ท่านไปเกิดเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี หรือพระราชามหากษัตริย์ ท่านมีโอกาสเกิดในยุคที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นหลายครั้ง เมื่อมาเกิดแล้ว ได้ตั้งใจสั่งสมบุญบารมีภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่

เมื่อได้เกิดในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ วันหนึ่ง ณ มหาวิหารอันร่มรื่น ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ ท่ามกลางพุทธบริษัทเรือนแสนที่พำนักอยู่ในที่นั้น ท่านเห็นพระบรมศาสดาทรงแต่งตั้งพระอรหันต์รูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าภิกษุด้านมีบริวารที่เป็นพระภิกษุมาก ท่านได้อนุโมทนาต่อตำแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนั้น จึงปรารถนาอยากได้ตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้บ้าง

ในวันรุ่งขึ้น ตัวท่านพร้อมเหล่าข้าทาสบริวารได้จัดภัตตาหารอย่างประณีต น้อมถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เมื่อพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ฉันเรียบร้อยแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิต ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้น พระบรมศาสดาทรงเห็นด้วยพุทธญาณว่า ความปรารถนาของท่านจะสำเร็จสมหวังอย่างแน่นอน จึงทรงพยากรณ์ว่า “ในอนาคตกาล คฤหบดีท่านนี้จะได้รับฐานันดรที่บุญญาธิปไตยจัดให้ คือ เป็นผู้เลิศด้วยบริวาร สมความตั้งใจอย่างแน่นอน” พุทธพยากรณ์ในวันนั้น ทำให้ท่านปลาบปลื้มใจมาก ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ได้ขวนขวายสร้างบุญบารมียิ่งๆ ขึ้นไปอีก เมื่อละจากชาตินั้นแล้ว ได้ท่องเที่ยวไปในสุคติภูมิอย่างเดียว

เมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม ภพชาตินี้ ท่านได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปะ ครั้นเติบโตพอที่จะเรียนหนังสือ จึงได้เล่าเรียนไตรเพทตามบรรพบุรุษ ต่อมาได้เป็นอาจารย์ของพราหมณ์ และมีมาณพเป็นบริวาร ๕๐๐ คน ด้วยความที่ได้สั่งสมบุญไว้ดี จึงไม่ติดอยู่ในวิชาที่ศึกษาเล่าเรียนมา เพราะมองไม่เห็นสาระในวิชาเหล่านั้น จึงพาบริวารออกบวชเป็นฤๅษี และตั้งสำนักบูชาไฟอยู่ริมแม่น้ำ ที่ตำบลอุรุเวลาได้รับการขนานนามว่า อุรุเวลกัสสปะ ท่านพร้อมทั้งบริวารได้ถือลัทธิบูชาไฟอยู่เป็นเวลาหลายสิบปี ด้วยเข้าใจว่านี่คือ เส้นทางพ้นทุกข์ แม้จะบูชาไฟ แต่ชีวิตของท่านพร้อมบริวารกลับเดินอยู่ในความมืดตลอดเวลา มองไม่เห็นหนทางพ้นทุกข์เลย

ครั้นอินทรีย์ของอุรุเวลกัสสปะพร้อมด้วยบริวารแก่รอบพร้อมที่จะได้บรรลุธรรมแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปโปรด ด้วยการแสดงปาฏิหาริย์ถึง ๓,๕๐๐ อย่าง เพื่อสร้างศรัทธาและกำราบมานะทิฐิของท่านพร้อมบริวาร จนกระทั่งฤๅษีทั้งหมดเลื่อมใสศรัทธา และออกบวชตามพระองค์ เมื่อถึงเวลาพระพุทธองค์ได้ทรงแสดง อาทิตตปริยายสูตร ที่ตำบลคยาสีสะ เพื่อขจัดไฟภายใน คือ กิเลสอาสวะโปรดพระนวกะทั้งหมด เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านอุรุเวลากัสสปะและบริวารทั้งหมด ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ต่อมาไม่นาน ท่านได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธองค์ ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในด้านมีพระภิกษุที่เป็นบริวารมาก สมความตั้งใจของท่าน

การที่ท่านได้สมหวังดังใจปรารถนา เพราะได้ยอดกัลยาณมิตร คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเมตตาอนุเคราะห์ หากไม่ได้พระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว จะไม่สามารถพ้นจากการดำเนินชีวิตที่ผิดพลาด ที่ต้องไปบูชาไฟ ซึ่งไม่ใช่สรณะไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม เพราะได้พระพุทธองค์เป็นกัลยาณมิตรให้แท้ๆ ชีวิตริบหรี่จึงกลับสว่างไสวขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น คุณค่าของกัลยาณมิตร จึงเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ และการที่เราจะได้กัลยาณมิตรภายนอกตลอดเวลาทุกที่ทุกโอกาสนั้นเป็นไปได้ยาก มีอยู่วิธีเดียว คือ เราจะต้องทำสมาธิภาวนา เพื่อให้พบกับกัลยาณมิตรภายใน ซึ่งจะทำให้เราเข้าถึงพระธรรมกายที่เป็นยอดกัลยาณมิตรให้กับเราได้ตลอดเวลา อันจะเป็นประดุจเข็มทิศชีวิต และเครื่องเตือนใจให้เราดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางสวรรค์และนิพพานตลอดไป ดังนั้น ให้หมั่นแสวงหาพระรัตนตรัยภายในตัว ด้วยการทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งเป็นประจำสมํ่าเสมอ สักวันหนึ่ง เราจะสมปรารถนากันทุกคน

วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

จับดีมีดวงตาเห็นธรรม

เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ควรมีเป้าหมายชีวิตให้กับตนเอง ถึงแม้จะเป็นเป้าหมายระยะสั้น หรือไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่น ก็ควรมีเอาไว้ ขอเพียงแต่ให้เป้าหมายนั้นเป็นไปเพื่อบุญกุศล เพื่อให้ได้สวรรค์และนิพพาน สำหรับเป้าหมายของนักสร้างบารมีพันธุ์รื้อวัฏฏะ คือ จะมุ่งสร้างบารมีทุกรูปแบบ ทุกเวลานาที เพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เมื่อมีเป้าหมายแล้วต้องพยายามทำให้สำเร็จ แม้จะใช้เวลานานเพียงใด จะมุ่งมั่นทำเป้าหมายให้กลายเป็นจริง การมีเป้าหมายจะทำให้ชีวิตมีความหวัง เมื่อชีวิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง จะทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เมื่อรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า จิตใจจะมีความสุขตามไปด้วย ชีวิตที่มีคุณค่า คือ ชีวิตที่เกิดมาแล้วได้สั่งสมบุญกุศลอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในเถรคาถาปทาน ความว่า

คนมีปัญญาน้อย คิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเป็นผู้ห่างไกลจากพระสัทธรรม เหมือนฟ้ากับดินที่อยู่ไกลกัน คนมีปัญญาน้อย คิดแต่จะกล่าวโทษต่อผู้ฟังคำสอนของท่านผู้ชนะมาร ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม เหมือนพระจันทร์ข้างแรม ฉะนั้น”

การคอยจ้องจับผิดข้อบกพร่องของคนอื่น แล้วนำมาวิจารณ์ให้คนอื่นทราบ ไม่ใช่วิสัยของบัณฑิตนักปราชญ์ เป็นการมองโลกในแง่ร้าย เหมือนมีผ้าห่มผืนใหญ่เอาไว้ใช้ห่มกันหนาว มีรอยด่างดำ เพียงนิดเดียว มัวแต่สนใจจุดดำและนำมาตำหนิ ส่วนข้อดีของผืนผ้าที่สามารถนำมาห่มกันหนาวได้นั้น ไม่ได้พูดถึงเลย หรืออ่านหนังสือเล่มใหญ่ ซึ่งมีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ มีประโยชน์และควรจดจำมากมาย แต่กลับไปจำตรงที่มีการพิมพ์ตกหล่นเพียงไม่กี่คำ อย่างนี้เป็นต้น การจับผิดไม่เคยทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงไป ใจจะไม่ใส เพราะใจเห็นแต่ของเสียๆ บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านสอนให้มองโลกในแง่ดี ให้จับเอาข้อดีของคนอื่นมาสรรเสริญ คนอื่นมีคุณธรรมอะไร ให้นำมาพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป

เราควรหลีกเลี่ยงคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้าย เพราะหากอยู่ใกล้สิ่งใด มักจะมีแนวโน้มไปตามกลุ่มที่เข้าใกล้ เราต้องรู้จักเลือกคบหาสมาคมกับกลุ่มที่มีทัศนคติในการมองโลกที่ดีและเป็นบวก หากเรายังคงวนเวียน และคบค้าสมาคมกับผู้มองโลกในแง่ลบ ชีวิตเหมือนกับมีสิ่งที่คอยขัดขวางและกระชากลากถูให้คล้อยตามกลุ่มนั้น ชีวิตที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีวันที่จะมีความสุขได้ เราจึงต้องรู้จักหลีกเลี่ยงที่จะเสวนาและอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้ เพื่อจะได้ช่วยพยุงชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างมีความสุขในทุกๆ สถานการณ์

หลวงพ่อมีตัวอย่างของพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อ ยสทัตตะเถระ ก่อนบวช ท่านมีทิฐิมานะ คอยจ้องจับผิดในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะอาศัยพระพุทธองค์ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตรให้ จึงเปลี่ยนนิสัยมาเป็นจับถูก แล้วนำคำสอนดีๆ นั้นมาผูกเข้าหากัน ทำให้ท่านหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

ในยุคสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระยสทัตตะเถระได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ หลังจากเรียนจบวิชาความรู้ของพราหมณ์แล้ว แทนที่จะใช้ชีวิตตามแบบฉบับของพราหมณ์ทั่วไป คือ การครองเรือน และเป็นเจ้าพิธีกรรมตามงานพิธีต่างๆ ด้วยความเป็นผู้มีปัญญา สามารถสอนตนเองได้ จึงตัดสินใจออกบวชเป็นฤๅษี ตั้งใจประพฤติพรต บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพัง ท่านเป็นฤๅษีที่มักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย

ขณะบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าตามลำพังนั้น ท่านได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระเสด็จเหาะผ่านมาทางอาศรม ดวงตาของท่านจ้องมองพระพุทธองค์ด้วยความปีติเลื่อมใส เพราะตั้งแต่เกิดมาลืมตาดูโลก ไม่เคยเห็นใครที่จะงดงามดังเช่นพระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ อีกทั้งพระรัศมีของพระพุทธองค์ก็สว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในการสั่งสมบุญ แทนที่จะมองด้วยความเลื่อมใสเพียงอย่างเดียว ท่านได้ประคองอัญชลีพนมมือสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ไปด้วย ด้วยบุญที่ท่านได้เห็นบุคคลอันเป็นสุดยอดแห่งทัสนานุตริยะ คือ ได้การเห็นอันประเสริฐ และบุญที่ได้สวดสรรเสริญพระพุทธองค์ด้วยความเคารพเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในครั้งนั้น ส่งผลให้ท่านท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิเท่านั้น คือ ในเทวโลก และในมนุษยโลก ไม่เคยรู้จักทุคติเลย

เมื่อมาถึงยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาบังเกิดในตระกูลมัลละกษัตริย์ ในมัลลรัฐ มีชื่อว่ายสทัตตะ เมื่อถึงวัยเรียนรู้ ท่านได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้ที่เมืองตักกศิลา หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านไม่ได้ยินดีในความรู้เพียงเท่านั้น เพราะรู้ว่าในโลกนี้ยังมีความรู้ที่น่าศึกษาอีกมาก โดยเฉพาะความรู้ที่เป็นไปเพื่อให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านยังแสวงหาไม่พบเลย จึงชักชวนปริพาชกชื่อว่าสภิยะ เที่ยวเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาครูเก่ง ครูดี

แล้วโอกาสทองของชีวิตในการเรียนรู้ครั้งสำคัญของท่านได้มาถึง เมื่อได้ข่าวว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ท่านยสทัตตะกับปริพาชกสภิยะจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าทันที เพราะต้องการศึกษาความรู้อันบริสุทธิ์จากพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นไปเพื่อการบรรลุอมตนิพพาน เนื่องจากทั้งสองทราบว่า มีบัณฑิตนักปราชญ์พากันมากราบไหว้ และมอบตัวเป็นสาวกแทบทั้งเมือง

เมื่อยสทัตตะมาณพและสภิยะปริพาชกได้โอกาสเข้าเฝ้า ได้ทูลถามปัญหากับพระพุทธองค์ โดยสภิยะปริพาชกเป็นผู้ถามปัญหา ส่วนยสทัตตะมาณพเป็นผู้คอยจับผิดคำตอบของพระพุทธองค์ ซึ่งทั้งสองได้นัดแนะกันเอาไว้ว่า แม้พระบรมศาสดาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน จะไม่ปักใจเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างง่ายๆ ต้องช่วยกันจับผิดในคำสอนนั้นเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าทุกคำถามที่สภิยะปริพาชกถาม ไม่มีคำตอบใดที่ยสทัตตะมาณพจะหาข้อบกพร่องได้เลย พุทธวิสัชนาแจ่มแจ้งชัดเจนทั้งเบื้องต้นท่ามกลาง และเบื้องปลาย เหมือนหงายของที่ควํ่า พอหงายก็รู้ว่าอะไรถูกครอบเอาไว้ เห็นได้หมด ถูกต้องและชัดเจน

พระพุทธองค์ทรงทราบแต่แรกแล้วว่า ทั้งยสทัตตะมาณพและสภิยะปริพาชก ต้องการจะทดสอบภูมิปัญญาของพระองค์ จึงเปิดโอกาสให้คนทั้งสองซักถามปัญหาอย่างเต็มที่ เพราะพระองค์ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ ตั้งแต่สมัยที่อยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งธรรมทั้งปวง เป็นผู้ไร้ปัญหา มีแต่คำตอบซึ่งพร้อมเสมอที่จะไขข้อข้องใจของผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ครั้นทรงทราบว่าทั้งสองหมดปัญหาที่จะถามแล้ว จึงตรัสเตือนว่าการจ้องจับผิดวาทะของพระพุทธองค์นั้น ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่การบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่การฟังโดยความเคารพเป็นเหตุให้ได้ปัญญา เพื่อการหลุดพ้นได้

เมื่อยสทัตตะมาณพรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบการกระทำของพวกตน จึงเกิดความอัศจรรย์ใจ จากเดิมที่มีความประทับใจในการตอบคำถามอยู่แล้ว ยิ่งบังเกิดความเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นก็รู้สึกละอายใจที่ตัวเองไม่รู้จักพุทธานุภาพ จากนั้นยสทัตตะมาณพได้ทูลขอบวช เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ท่านปรารภความเพียรอย่างเต็มที่ ไม่นานได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้มีชีวิตที่สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน ความสงสัยอันใดที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไปจากใจ

การฟังที่ดีนำไปสู่ปัญญาหลุดพ้น ถ้าจับดีจะมีดวงตาเห็นธรรม แต่ถ้าฟังแล้วจับผิดจะไม่เกิดประโยชน์อะไร แถมยังมีโทษอีกด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วปฏิบัติตามธรรม ชีวิตของเราจะสามารถพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นได้ โดยเราจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องในตัวเราเองได้ ซึ่งการจะเห็นข้อดีของผู้อื่นและข้อบกพร่องของตนเอง แล้วสามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราจะต้องหมั่นปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาอย่างสมํ่าเสมอ เพราะใจที่ใสๆที่ได้เข้าถึงธรรมะภายใน จะเห็นแต่ของใสๆ และมีพลังใจในการพัฒนากายและวาจาให้ดีขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้เราดำเนินอยู่บนเส้นทางสวรรค์และพระนิพพานได้ตลอดไปทุกภพทุกชาติ

วันเสาร์ที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

คุณวุฒิไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย

ช่วงอายุ หรือวัยของมนุษย์เป็นสัญลักษณ์ที่ให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยงของสังขาร ซึ่งมีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา แต่เรื่องคุณธรรม หรือความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย เราอาจจะเคยเห็นเด็กหลายๆ คนที่มีลักษณะของผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่บางคนทำตัวเหมือนเด็ก การวัดความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในทางพุทธศาสนานั้น นอกจากดูที่รูปร่างหน้าตาและวัยวุฒิแล้ว ยังต้องดูคุณวุฒิ คือ การได้บรรลุมรรคผลขั้นต่างๆ อีกด้วย ถ้าบรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า แม้อายุยังน้อยก็ควรต่อการเคารพนับถือ เพราะถือว่าท่านเอาตัวรอดได้แล้ว คือ รอดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ ดังนั้น การฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง น้อมนำใจกลับเข้าสู่สภาวะที่สะอาดสงบสว่าง และบริสุทธิ์ภายใน ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา จึงเป็นเส้นทางสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง

มีธรรมภาษิตที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ซึ่งปรากฏในธรรมบทว่า

สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ สนฺตา วาจา จ กมฺม จ

สมฺมทญฺญา วิมุตฺตสฺส อุปสนฺตสฺส ตาทิโน

ใจของพระขีณาสพผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ผู้เข้าไปสงบวิเศษแล้ว ผู้คงที่ เป็นใจที่สงบ วาจาของท่าน ก็เป็นวาจาที่สงบ หรือการกระทำทางกายของท่าน ก็เป็นกายที่สงบเหมือนกัน”

เป้าหมายสูงสุดของการเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา คือ การได้ปฏิบัติธรรมจนสิ้นอาสวกิเลส ได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว ความคิด คำพูดและการกระทำจะสงบเสงี่ยมสง่างามตลอดเวลา อานุภาพของความสงบเสงี่ยมสง่างามของพระอรหันต์ จะส่งผลให้ผู้ได้พบเห็นพลอยสงบใจตามไปด้วย การเป็นผู้สงบอย่างนี้ ถือว่าสงบอย่างแท้จริง เพราะสงบจากกิเลส ได้พบพระรัตนตรัยภายใน และยังเป็นต้นแบบทำให้ผู้อื่นได้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตอยู่ในวัฏสงสารด้วย

ในพุทธกาลมีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ ติสสะ ท่านอยู่จำพรรษาที่เมืองโกสัมพี พระเถระท่านนี้เป็นพระที่รักสงบ รักในการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะช่วงเข้าพรรษาของแต่ละปี ท่านจะตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นพิเศษ ทำให้เป็นที่เคารพเลื่อมใสของผู้ได้พบเห็น นอกจากท่านจะรักในการทำความเพียรอย่างสมํ่าเสมอแล้ว ท่านยังเป็นพระที่ไม่สะสมอัฐบริขาร มีความมักน้อยสันโดษ ใครได้สนทนาธรรมด้วย ยิ่งก่อให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก

ด้วยความรักในการปฏิบัติธรรมของท่าน ทำให้มีญาติโยมมาถวายภัตตาหารและเครื่องใช้มากมาย แต่ท่านไม่ได้ใส่ใจในลาภสักการะเหล่านั้น อุบาสกอยากได้บุญใหญ่จากท่าน สังเกตเห็นว่าพระเถระขาดสามเณรคอยอุปัฏฐาก จึงปรารภว่าจะให้ลูกชายบวชเป็นลูกศิษย์ พระเถระเองเห็นดีด้วย เพราะเห็นแววลูกชายอุบาสก เป็นเด็กที่รักในความสงบวิเวก และรักในการฝึกฝนอบรมตนเอง

อุบาสกปรารภเรื่องนี้ให้ลูกชายฟัง โดยเล่าความเป็นผู้มีบุญของผู้บวช และอยากให้ลูกบวชแทนพ่อ เพราะพ่อบวชไม่ได้ ยังมีภาระหลายอย่าง และเมื่อลูกบวชแล้ว จะได้อุปัฏฐากพระอาจารย์ เมื่อลูกชายได้ฟังแล้ว ก็ดีใจเพราะใจจริงอยากบวชอยู่แล้ว พอเตรียมผ้าไตรจีวรเป็นที่เรียบร้อย อุบาสกได้ชักชวนญาติพี่น้องมารวมกันที่วัด เพื่ออนุโมทนาบุญกับการบวชของลูกชาย

พระเถระได้สอนวิธีการทำสมาธิภาวนาแก่ลูกชายอุบาสก เมื่อให้โอวาทเสร็จก็ปลงผมให้ ขณะปลงผมใกล้จะเสร็จ นาคน้อยอายุเพียง ๗ ขวบก็ได้บรรลุธรรมกายอรหัต เป็นพระอรหันต์ในขณะปลงผมปอยสุดท้ายนั่นเอง เมื่อบวชแล้ว สามเณรได้ทำหน้าที่อุปัฏฐากพระเถระ โดยที่พระเถระเอง ก็ไม่รู้ว่าผู้ที่อุปัฏฐากนั้น เป็นถึงสามเณรอรหันต์

ครั้นผ่านไปประมาณ ๑๕ วัน หลังจากสามเณรบวช พระเถระอยากจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา จึงพาสามเณรออกเดินทางไปวัดพระเชตวัน ระหว่างทางได้แวะพักที่วัดแห่งหนึ่ง การเข้าพักครั้งนี้ สามเณรเตรียมที่พักให้ตัวเองไม่ทัน เพราะวันนั้น มาถึงยามพลบคํ่า เพียงแค่ปัดกวาดเตรียมที่พักให้พระเถระ ยังแทบจะไม่ทัน พระเถระจึงให้สามเณรจำวัดในห้องเดียวกับท่าน สามเณรรู้ว่าระหว่างที่เดินทางมา ได้จำวัดอยู่ในห้องเดียวกับพระเถระครบ ๓ คืนแล้ว ถ้ายังจำวัดอยู่ในห้องเดียวกันอีก พระเถระจะต้องอาบัติอย่างแน่นอน คืนนั้น สามเณรจึงนั่งสมาธิคู้บัลลังก์ทั้งคืน

ครั้นจวนสว่าง พระเถระระลึกได้ว่า ได้จำวัดอยู่ห้องเดียวกันกับสามเณรครบ ๓ คืนแล้ว นี่เป็นคืนที่ ๔ ท่านจึงเอาพัดที่วางอยู่ข้างตัวเคาะเสื่อของสามเณร เพื่อให้สามเณรออกไปนอกห้อง แต่เนื่องจากไม่ได้พิจารณาให้ดี จึงทำให้ปลายพัดแทงโดนตาข้างหนึ่งของสามเณรแตก แม้สามเณรจะโดนพัดแทงจนตาแตกเลือดไหล ก็ไม่ได้ร้องโวยวาย รู้ว่าพระเถระให้ออกไปนอกห้อง จึงเอามือปิดตาเดินออกนอกห้องไป ท่านทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอฟ้าสางสามเณรทำกิจวัตรที่ได้ทำเป็นปกติทุกวัน คือ ปัดกวาดเสนาสนะ ตักน้ำดื่ม น้ำใช้เตรียมไว้ให้พระเถระอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะที่ทำไปมือข้างหนึ่งก็ปิดตาไป พอถึงเวลาถวายไม้ชำระฟัน จึงถวายด้วยมือข้างเดียว พระเถระเห็นเช่นนั้น จึงถามว่า “สามเณรเป็นอะไรหรือ”

เมื่อสามเณรเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พระเถระตกใจ รีบพนมมือนั่งกระโหย่ง พร้อมกับพูดว่า “ท่านสัตบุรษ ขอท่านจงยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านเป็นที่พึ่งให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” แทนที่สามเณรจะตำหนิกลับพูดปลอบขวัญพระเถระว่า “ท่านผู้เจริญ นี่ไม่ใช่โทษของท่าน ไม่ใช่โทษของผม แต่นี่เป็นโทษของวัฏฏะ ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย” เมื่อพระเถระได้ฟังเช่นนั้น ยิ่งลำบากใจหนักเข้าไปอีก จึงช่วยสามเณรถืออัฐบริขาร เร่งเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อไปถึงได้กราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุ ปกติของพระขีณาสพ จะไม่โกรธ หรือขัดเคืองต่อใครๆ เพราะท่านเหล่านั้นมีอินทรีย์ธรรมและมีใจสงบแล้ว”

พระเถระเดิมทีที่กระวนกระวาย เพราะกลัวจะได้บาป กลับได้ความสบายใจกลับคืนมา ขณะฟังธรรม ท่านค่อยๆ ทำใจหยุดใจนิ่งตรองตามพุทธวจนะที่พระพุทธองค์กำลังแสดง ครั้นจบพระธรรมเทศนา ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ วิบากกรรมที่ท่านเผลอทำให้สามเณรตาบอด ก็เป็นอโหสิกรรมไป เพราะกรรมที่ไม่มีเจตนาตามไม่ทัน เนื่องจากบุญที่เกิดจากการบรรลุพระอรหัตผล ได้ตัดกระแสวิบากกรรมเสียก่อน

ความสงบเสงี่ยมของสามเณรอรหันต์ ได้เป็นกำลังใจทำให้พระเถระซึ่งเป็นพระอาจารย์ได้เข้าถึงธรรมตามไปด้วย สามเณรแม้จะมีอายุเพียง ๗ ขวบ แต่ด้วยวุฒิภาวะที่สูงที่สุดในวัฏสงสาร ทำให้สามเณรเตือนตัวเองได้ แม้ในยามที่ลูกนัยย์ตาถูกพัดแทงเอาจนตาบอดไปข้างหนึ่ง ก็ไม่แสดงอาการกระสับกระส่ายแต่อย่างใด วัยของชีวิตอาจเป็นเครื่องวัดคุณธรรมและความสามารถได้ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน สำหรับพุทธบุตรผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพแล้ว วัยไม่สำคัญเท่าสภาวธรรมภายใน เพราะคุณธรรมและคุณวิเศษภายในจะเป็นเครื่องวัดความเป็นสมณะที่สมบูรณ์

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน อย่าให้วัยมาเป็นอุปสรรค ให้เราต้องประมาทในการทำความดีสร้างบุญบารมี อย่าไปคิดว่าเรากำลังอยู่ในวัยเรียนวัยเล่น แล้วไม่ยอมสร้างบารมี หรือคิดว่ายังไม่ถึงวัยชรา ยังไม่ต้องเข้าวัดก็ได้ ให้รีบสร้างฐานะก่อน แต่ว่าพญามัจจุราชที่จะพิฆาตชีวิตเราให้หมดโอกาสในการสร้างความดีนั้น หาได้เลือกวัยไม่ ผู้ฉลาดเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงไม่ควรประมาทแม้ในวัยใดวัยหนึ่งจะต้องหมั่นทำความดี เพื่อแข่งกับวันเวลาที่มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังเช่นชีวิตของสามเณรที่ได้บรรลุธรรมตั้งแต่เยาว์วัย เพราะท่านไม่ประมาทในชีวิต และได้สร้างบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงมองเห็นว่า เพศภาวะที่ดีที่สุด คือ เพศนักบวช ท่านจึงบวชเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเมื่อบุญส่งผล อินทรียธรรมของท่านแก่รอบ วัยในการบรรลุธรรมก็หาได้เป็นเงื่อนไขของชีวิตไม่ เพราะการบรรลุธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัย แต่อยู่ที่ใจหยุด เส้นทางสู่สวรรค์และพระนิพพาน ไม่จำกัดด้วยวัยสำหรับผู้เดินทาง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ให้หมั่นทำทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนาอย่างสมํ่าเสมอ จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน

วันจันทร์ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒

ชีวิตของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร

ทุกชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์สิ่งของ บุตร ธิดา ทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้อง ล้วนไม่อาจติดตามเราไปในปรโลกได้ มีเพียงกุศลผลบุญที่เราได้สั่งสมเอาไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นเหมือนเงาติดตามตัวเราไป ดังนั้น พวกเราต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดี และแสวงหาหลักของชีวิต คือพระรัตนตรัย แล้วก็หมั่นสั่งสมบุญบารมีให้เต็มที่ เพราะโอกาสนี้ นับเป็นโอกาสดีที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนาได้รู้จักหนทางของความหลุดพ้น ฉะนั้นอย่าปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เพราะชราและมรณะครอบงำเราอยู่ทุกขณะ ให้เร่งรีบประพฤติปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกภายในให้ได้ ชีวิตเราจะได้ปลอดภัยและมีความสุขไปทุกภพทุกชาติกัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า

อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา

สญฺโญชนํ อณุ ํ ถูลํ ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ

ภิกษุยินดีแล้วในความไม่ประมาท มีปกติเห็นภัย-ในความประมาท ย่อมเผาสังโยชน์ ทั้งหยาบและละเอียดได้ ดุจไฟที่เผาเชื้อทั้งมากและน้อยได้ ฉะนั้น”

ความไม่ประมาทเป็นยอดของความดี ส่วนความประมาทเป็นภัยในวัฏฏะ ที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลงวนอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นออกไปไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนพระภิกษุ และเหล่าพุทธบริษัท ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของความประมาทอยู่เสมอ และให้ยินดีในความไม่ประมาท นอกจากนี้ คำว่า “ภิกษุ” ยังหมายถึงผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ภัยก็เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเริ่มประมาทตามใจกิเลส จึงทำบาปอกุศล อันเป็นเหตุให้ต้องพลัดไปเกิดในอบายภูมิไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดียรัจฉาน

ในขณะที่กำลังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ แสวงหาหนทางข้ามฝั่งคือพระนิพพานอยู่นั้น จะหาบุคคลผู้โชคดีที่เวียนวนอยู่ในสุคติภูมิอย่างเดียวนั้นน่ะ มีน้อยเหลือเกิน เหมือนฝุ่นในเล็บมือ ไม่อาจเทียบได้กับฝุ่นในจักรวาล เพราะโอกาสที่จะประพฤติผิดพลาดทางกาย วาจา ใจนั้นมีอยู่ตลอดเวลา เหมือนเวลาที่เรือล่มกลางมหาสมุทร ลูกเรือแต่ละคนก็จะพยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเอาตัวรอด มองไปสุดลูกหูลูกตาก็ไม่เห็นฝั่ง จะต้องเจอภัยต่างๆ ที่มีอยู่ในทะเล ตั้งแต่ภัยจากคลื่นลมแรง ภัยจากปลาร้าย ภัยจากน้ำวน พอหมดเรี่ยวแรงก็จมดิ่งสู่ท้องทะเล ต้องเป็นภักษาของปลาและสัตว์ในทะเล น้อยคนนักที่จะข้ามขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย

ฉะนั้น การจะพิชิตภัยในสังสารวัฏได้อย่างเด็ดขาดต้องอาศัยความไม่ประมาท มีสติเตือนตนเองอยู่เสมอ ต้องควบคุมกาย วาจา ใจของเรา ไม่ให้ไปทำความเดือดร้อนกับใคร ขณะเดียวกันก็หมั่นทำความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นทุกวัน บริสุทธิ์จนสามารถทำสังโยชน์ทั้งหยาบและละเอียด ทั้งเบื้องต่ำเบื้องสูงให้หลุดล่อนออกไปจากใจได้หมด หลุดพ้นจากอาสวกิเลสได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละจึงจะเรียกว่า ผู้พิชิตอย่างแท้จริง

*มก. ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เล่ม ๔๐/๓๗๙

*ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสกท่านหนึ่ง เมื่อมีโอกาสได้เข้าวัดฟังธรรมจากพระบรมศาสดาบ่อยครั้ง ก็เกิดปัญญามองเห็นทุกข์เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน จึงตัดสินใจสละเพศฆราวาส ตั้งใจออกบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อบวชแล้วก็เริ่มเรียนพระกัมมัฏฐานที่เหมาะกับจริตอัธยาศัยจากพระพุทธองค์ จากนั้นก็กราบทูลลาเข้าป่าเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมตามลำพัง แต่เนื่องจากปรารภความเพียรจัดเกินไป ยังหาความพอดีจากการทำใจหยุดนิ่งไม่ได้ ทำให้เกิดรู้สึกว่า เส้นทางสู่การบรรลุอรหัตผลนั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน จึงคิดจะกลับไปทูลขอวิธีการปฏิบัติกัมมัฏฐานจากพระบรมศาสดาใหม่

วันรุ่งขึ้น ท่านได้ออกจากป่า ระหว่างเดินทางอยู่นั้น ก็เกิดไฟป่าลุกลามไปทั่วบริเวณ ทำให้ท่านต้องรีบขึ้นไปยอดเขาลูกหนึ่ง เมื่อถึงยอดเขาแล้ว ก็นั่งดูไฟซึ่งกำลังไหม้ป่า ขณะเดียวกันนั้น ท่านก็นำเอาไฟนั้นมาเป็นอารมณ์ พร้อมกับสอนตนเองว่า “ไฟนี้ เผาเชื้อให้มอดไหม้ไป ฉันใด แม้ไฟคืออริยมรรคญาณ ก็จักพึงเผาสังโยชน์ทั้งหลายที่มีอยู่ในใจของเราให้มอดไหม้ไป ฉันนั้น”

เมื่อตรึกธรรมะอยู่บนยอดเขาอยู่นั้น พระบรมศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงทราบวาระจิตของภิกษุนั้น จึงตรัสว่า “อย่างนั้นแหละภิกษุ สังโยชน์ทั้งหลายทั้งหยาบและละเอียด ซึ่งเกิดอยู่ในภายในของสัตว์ทั้งหลาย ประดุจเชื้อที่มากบ้างน้อยบ้าง เพราะฉะนั้น เธอควรเผาสังโยชน์เหล่านั้นด้วยไฟคือญาณเสีย แล้วทำให้เป็นของที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไปเถิด” ว่าแล้วก็ทรงเปล่งพระรัศมีไปปรากฏ ประหนึ่งว่าประทับนั่งอยู่ต่อหน้าของภิกษุนั้น ตรัสสอนเธอว่า “ภิกษุยินดีแล้วในความไม่ประมาท มีปกติเห็นภัยในความประมาท ย่อมเผาสังโยชน์ ทั้งละเอียดและหยาบได้ ดุจไฟที่เผาเชื้อทั้งมากและน้อยได้ฉะนั้น” ภิกษุรูปนั้นได้พิจารณาตามพระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ

นอกจากนี้ ยังมีภิกษุอีกรูปหนึ่ง หลังจากทูลลาพระบรมศาสดาและหมู่คณะเพื่อปลีกวิเวกตามลำพังแล้ว ก็เป็นผู้ไม่ประมาทเหมือนกัน ท่านได้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าทั้งวันทั้งคืน ตั้งใจปรารภความเพียร-อย่างเต็มที่ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จึงเดินทางออกจากป่าเพื่อมาเรียนกัมมัฏฐานใหม่ ในระหว่างทาง ซึ่งเป็นช่วงเวลากลางวัน ท่านก็เห็นพยับแดด จึงพิจารณาธรรมว่า “พยับแดดนี้ ตั้งขึ้นในฤดูร้อน ทำให้คนซึ่งยืนอยู่ในที่ไกลๆ สามารถมองเห็นได้เหมือนมีรูปร่างจริงๆ แต่ครั้นเดินเข้ามาใกล้ๆ กลับมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ เป็นเพียงภาพลวงตา เป็นของว่างเปล่า แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปเหมือนอย่างนั้น เพราะว่าตั้งอยู่ได้ไม่นาน เมื่อหนุ่มสาวก็มองดูสวยงาม ครั้นล่วงกาลผ่านวัยไป ร่างกายก็เหี่ยวย่นไปตามลำดับ สุดท้ายก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด รูปกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา”

ดูว่า ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ มุ่งปฏิบัติเพื่อการเป็นพระแท้ ใจของท่านจะจดจ่ออยู่กับธรรมะ โดยเอาธรรมชาติรอบตัวนั่นแหละ มาเป็นครูสอนตนเอง เพราะฉะนั้น เมื่อท่านสอนตนเองเสร็จแล้ว ก็เดินทางต่อไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จึงแวะสรงน้ำในแม่น้ำ นั่งที่ใต้ร่มไม้ริมฝั่ง ซึ่งมีกระแสน้ำเชี่ยว ขณะเดียวกันก็มองเห็นฟองน้ำใหญ่ตั้งขึ้น กำลังของน้ำกระทบกันแล้วก็แตกไปเป็นฟอง ท่านได้นำเอาฟองน้ำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ คิดสอนตัวเองว่า “แม้อัตภาพนี้ ก็มีรูปร่างอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะว่า เกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป”

พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พระคันธกุฎี ทรงเห็นท่านเข้ามาในข่ายพระญาณของพระองค์ จึงตรัสว่า “อย่างนั้นนั่นแหละภิกษุ อัตภาพนี้ก็มีรูปอย่างนั้น มีอันเกิดขึ้นและแตกไปเป็นธรรมดาเหมือนฟองน้ำและพยับแดด” จากนั้นก็ทรงเปล่งพระรัศมีไปปรากฏประหนึ่งว่า ประทับนั่งต่อหน้าของภิกษุนั้น ทรงตรัสสอนว่า “ภิกษุรู้แจ้งกายนี้ว่า มีฟองน้ำเป็นเครื่องเปรียบ รู้ชัดกายนี้ว่า มีพยับแดดเป็นธรรมตัดพวงดอกไม้ของพญามารเสียแล้ว พึงถึงสถานที่ที่มัจจุราชมองไม่เห็น”

เมื่อท่านได้ตรองตามพระธรรมเทศนาไปตามลำดับก็รู้ว่ารูปกายนี้ คือที่ประชุมรวมของธาตุสี่ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เป็นเหมือนฟองน้ำ เพราะไม่ตั้งอยู่นาน ร่างกายนี้ปรากฏอยู่ชั่วขณะ เหมือนพยับแดด แต่ความจริงแล้วมีแต่ความว่างเปล่า หาสาระไม่ได้เลย ท่านพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นมาในใจอย่างชัดเจน ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาอีกรูปหนึ่ง

เราจะเห็นว่า ผู้ไม่ประมาทในชีวิต ท่านจะอุทิศตนเพื่อการทำพระนิพพานให้แจ้งอย่างเดียว ไม่เสียเวลาไปทำเรื่องอื่นเลย การเจริญสมาธิภาวนานี่แหละ จะทำให้ใจบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง สามารถทำลายโซ่ตรวนที่ร้อยรัดสรรพสัตว์เอาไว้ในภพทั้งสาม จะทำให้เราเข้าถึงอิสรเสรีที่แท้จริง ที่รอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ทั้งภัยภายในและภัยภายนอก รวมไปถึงภัยในโลกนี้กับภัยในโลกหน้า และภัยในสังสารวัฏ ดังนั้นเราจะต้องหมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งอยู่ตลอดเวลา แล้วในไม่ช้า เราก็จะเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานได้เหมือนกัน

ควรมีมิตรในทุกระดับ

การกระทำทางกายวาจาและใจ ล้วนมีผลต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ่ ถ้าเราคิดดีก็จะส่งผลให้พูดดีและทำดีตามไปด้วย การจะคิดดีได้นั้น จะต้องมีจุดกำเนิดของความคิดที่ดี ความคิดจะดีหรือบริสุทธิ์ได้นั้น ก็ต้องเจริญสมาธิภาวนาปฏิบัติธรรม ผู้ที่เจริญสมาธิภาวนาเป็นประจำสมํ่าเสมอ จะมีคำพูดที่ดี มีกิริยาอาการที่สงบสำรวม เป็นคนมีเหตุผล รู้จักสิ่งที่ควรและไม่ควร เมื่อเรารู้อย่างนี้ ก็ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาให้มากเข้าไว้ เนื่องจากใจเป็นจุดเริ่มต้นของวาจาและการกระทำ ดังพุทธดำรัสที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าจิตใจดี คำพูดและการกระทำของเราก็จะดีตามไปด้วย การคิดดีพูดดีและการกระทำที่ดีนี้ เป็นทางมาแห่งมหากุศลที่จะติดตามตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติทีเดียว

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในกุสนาฬิชาดก ความว่า

กเร สริกฺโข อถวาปิ เสฏฺโฐ

นิหีนโก วาปิ กเรยฺย เอโก

กเรยฺยุเมเต พฺยสเน อุตฺตมตฺถํ

ยถา อหํ กุสนาฬิ รุจายํ

บุคคลเป็นผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือต่ำกว่ากัน ก็ควรคบกันไว้ เพราะเพื่อนเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้”

*มก. กุสนาฬิชาดก เล่ม ๕๖ /๔๖๓

*เส้นทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต นอกจากจะอาศัยพ่อแม่ พี่น้องและหมู่ญาติแล้ว ยังต้องอาศัยมิตรสหายอีกด้วย มิตรสหายคือบุคคลที่เราสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ซึ่งนิยามของคำว่ามิตรสหายนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องเกิดในชนชั้นที่รวย สวย ฉลาดเสมอไป ขอเพียงเป็นเพื่อนแท้ต่อกันเท่านั้น คือ พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก ในเวลาเดือดเนื้อร้อนใจ เพื่อนก็พร้อมเสมอที่จะมาช่วยดับไฟร้อน คอยช่วยแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ให้คลี่คลายลงได้ด้วยดี เหมือนดังเรื่องของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ที่นอกจากจะรํ่ารวยทรัพย์แล้ว ยังรํ่ารวยมิตรสหายและบริวารอีกด้วย วันนี้เรามารู้จักอานิสงส์ของการคบเพื่อนดีกันเลย

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นพ่อค้านักธุรกิจผู้กว้างขวางคบหามิตรสหายเอาไว้มากมาย ทั้งมิตรที่เคยคบหากันมาตั้งแต่เด็ก และไม่เคยเห็นกันมาก่อน ได้แต่ส่งข่าวสารถึงกันเท่านั้นก็มีมาก ความเป็นผู้ใจกว้างในเรื่องการคบมิตรของท่านนั้น บางครั้งพวกญาติๆ ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะท่านคบคนไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะจนหรือรวย จะตกทุกข์ได้ยาก ก็คบหาเขาไปเสียทั้งหมด แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจในคำเตือน เพราะท่านดูที่คุณธรรมและความจริงใจเป็นหลัก ดังเช่นเพื่อนคนหนึ่งของท่านซึ่งเป็นคนจน ยังตั้งตัวไม่ได้ พวกญาติจึงห้ามปรามท่านเศรษฐีว่า ไม่ควรไปคบหาสมาคมด้วย เพราะเกรงว่าจะอาศัยความเป็นเพื่อนมาเที่ยวขอเงินบ่อยๆ

ท่านอนาถบิณฑิกะผู้มีน้ำใจงาม กลับมีความคิดเห็นว่า “ความมีน้ำใจมิตรไมตรีกับคนที่ต่ำกว่าก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี หรือคนที่สูงกว่าก็ดี ควรมีทั้งนั้น ความเป็นเพื่อนไม่ได้วัดกันที่ฐานะหรือชาติตระกูล เมื่อรักที่จะเป็นมิตรสหายกันแล้ว ก็ไม่ควรจะเอาตำแหน่งฐานะหน้าที่ทางสังคมมาเป็นอุปสรรค ขอเพียงมีความรักและปรารถนาดีต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจก็พอแล้ว” เมื่อจะไปต่างเมือง เพื่อทำการค้าขาย หรือไปเก็บเงินนอกเมือง ท่านเศรษฐีก็ตั้งเพื่อนคนนี้ให้เป็นผู้คอยดูแลทรัพย์สมบัติ

ฝ่ายเพื่อนของท่านเศรษฐี ครั้นได้รับความไว้วางใจเช่นนี้ ก็มีความตั้งใจเป็นพิเศษ ถึงกับไม่ยอมหลับนอน เที่ยวเดินตรวจดูความเรียบร้อยตลอดทั้งคืน แต่มีอยู่คืนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นโจรกลุ่มหนึ่ง กำลังทำท่าจะเข้ามาปล้นบ้านท่านเศรษฐี จึงรีบบอกให้คนในบ้านรู้ตัว แล้วบอกให้ช่วยกันเป่าสังข์ ตีกลอง ทำให้เหมือนกับมีมหรสพโรงใหญ่ ทางด้านโจรเห็นว่าคนในบ้านเศรษฐีไม่ยอมหลับซะที เมื่อใกล้สว่างก็ทิ้งอาวุธทิ้งอุปกรณ์แล้วหนีไป

เมื่อท่านอนาถบิณฑิกะกลับมาจากค้าขายและทราบเรื่องเข้า จึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้พระบรมศาสดาทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสว่า “คฤหบดี คำว่าเพื่อนไม่ใช่เป็นเรื่องเล็กน้อย เขาคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าหากสามารถรักษาคุณธรรมน้ำมิตรเอาไว้ได้ ก็คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนของท่านตลอดไป ธรรมดามิตรที่เสมอกับตนก็ดี ที่ต่ำกว่าตนก็ดี หรือที่ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบเอาไว้ เพราะว่ามิตรเหล่านั้น ย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงเราได้ทั้งนั้น บัดนี้ท่านอาศัยมิตร จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ได้สืบต่อไป ส่วนในอดีต เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ก็ได้อาศัยมิตร จึงได้เป็นเจ้าของวิมาน ว่าแล้วก็ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า

เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดาที่กอหญ้าคา ในพระราชอุทยาน ในราชอุทยานนี้มีต้นมงคลพฤกษ์ อยู่ข้างมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรง มีปริมณฑลแผ่กิ่งก้านสมบูรณ์ คนในราชสำนักจึงตั้งชื่อใหม่ให้ว่า ต้นสมุขกะ ต่อมามีเทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งมาบังเกิดที่ต้นไม้นี้ และได้คบหากันเป็นเพื่อนสนิทกับรุกขเทวาโพธิสัตว์

เมื่อพระราชาต้องการไม้แก่นเพื่อทำเสามงคลของปราสาทแทนเสาต้นเดิมที่ได้ผุพังไป จึงให้ช่างไม้เสาะหาต้นไม้ที่เหมาะสมจนทั่วทั้งเมืองแล้วก็ยังไม่พบ เลยให้เข้าไปสำรวจดูในพระราชอุทยาน พวกช่างไม้ก็ได้เห็นต้นไม้มงคลต้นนั้น จึงกลับไปกราบทูลขออนุญาตเมื่อพระราชาทรงเห็นว่าไม่มีต้นไม้ต้นอื่นแล้ว จึงทรงอนุญาต แล้วค่อยหาต้นไม้มงคลต้นอื่นมาปลูกแทน

พวกช่างไม้ครั้นได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็บวงสรวงด้วยเครื่องพลีกรรม เพื่อเป็นการบอกให้รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ได้รับทราบ จะได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ฝ่ายรุกขเทวดาเจ้าของวิมาน เมื่อรู้ว่า วิมานของตนจะต้องพังพินาศแน่แล้ว ก็นั่งกอดลูกน้อยรํ่าไห้ เพราะไม่มีต้นไม้ต้นอื่นที่จะไปอาศัยอยู่ ฝ่ายหมู่รุกขเทวาที่คุ้นเคยกัน ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ จึงพากันนั่งร้องไห้เพราะความสงสาร

เมื่อรุกขเทวาโพธิสัตว์เห็นว่า รุกขเทวา อากาสเทวา และภุมมเทวาที่มีวิมานอยู่ใกล้เคียงกันนั้น ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ตนเองแม้จะเป็นเทวดาที่มีวิมานเล็กกว่า แต่ก็รู้ว่าตนสามารถแก้ไขสถานการณ์อันเลวร้ายให้กับรุกขเทวาผู้มีศักดิ์ใหญ่นี้ได้ จึงปลอบรุกขเทวดาที่มาชุมนุมกันว่า “ท่านทั้งหลาย อย่ามัวเสียใจไปเลย ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือพวกท่านเอง”

รุ่งขึ้น รุกขเทวาโพธิสัตว์ก็จำแลงเป็นกิ้งก่าตัวใหญ่ วิ่งตัดหน้าพวกช่างไม้ หายเข้าไปที่โคนต้นไม้มงคล แล้วไปนอนผงกหัวให้พวกช่างไม้ได้เห็น เพื่อต้องการจะลวงว่า ตนได้ไต่ไปตามโพรง แล้วออกไปนอนอยู่บนยอดไม้ เมื่อหัวหน้าช่างไม้เห็นเช่นนั้นก็ตำหนิว่า “ต้นไม้นี้มีโพรงอยู่ข้างใน เมื่อวานไม่ทันตรวจดูให้ดีหลงทำพลีกรรมเสียใหญ่โต ถ้าหากตัดไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร” ว่าแล้วก็พากันเดินจากไป

รุกขเทวดาดีใจมากที่ต้นไม้ซึ่งเป็นวิมานของตนไม่ถูกตัด จึงขอบคุณพระโพธิสัตว์ท่ามกลางเทวสมาคมว่า “ดูก่อนทวยเทพ ผู้เจริญทั้งหลาย ชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ ก็มิได้รู้อุบายนี้ เพราะไร้ปัญญา ส่วนเทวดาหญ้าคาผู้มีศักดิ์น้อย กลับทำให้เราได้เป็นเจ้าของวิมานเหมือนเดิม ธรรมดามิตรไม่ควรเลือกว่าเท่าเทียมกัน ยิ่งกว่า หรือต่ำกว่าตน เพราะชื่อว่ามิตรควรคบไว้ทั้งนั้น มิตรแท้สามารถบำบัดทุกข์ที่เกิดขึ้น ให้กลับมีความสุขดังเดิมได้ บุคคลผู้เสมอกัน ประเสริฐกว่ากัน หรือเลวกว่ากัน ก็ควรคบเอาไว้ เพราะมิตรเหล่านั้น เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ก็พึงทำประโยชน์อันอุดมให้ได้ ดูอย่างเราผู้มีศักดิ์ใหญ่ในเขตนี้ มีเทวดาผู้มีศักดิ์น้อยซึ่งเกิดที่กอหญ้าคา คบหากันฉันมิตร จึงทำให้สามารถพิชิตปัญหาต่างๆ ได้”

นี่ก็เป็นตัวอย่างของการคบมิตรสหายที่มีความจริงใจต่อกัน ซึ่งจะไม่นำความจนความรวย หรือยศถาบรรดาศักดิ์มาเป็นช่องว่าง การคบหากันนั้น ขอเพียงมีน้ำใสใจจริงต่อกัน เรื่องชนชั้นวรรณะ หาใช่อุปสรรคในการคบหากันไม่ บางครั้งความสำเร็จที่เราได้มา แม้จะยิ่งใหญ่สักปานใด หากขาดบริวารเพื่อนรอบกายที่คอยสนับสนุนและชื่นชมยินดีแล้ว ความสำเร็จเหล่านั้นก็แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ดังนั้น ให้ทุกท่านหมั่นคบหามิตรสหายที่ดีๆ มีศีลมีธรรม คบหากัลยาณมิตร แล้วชีวิตของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองทั้งทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปกันทุกคน

วันอังคารที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

ศาสดาในโลกนี้

ชีวิตคนเราที่เกิดมา ไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อมไปหมดทุกเรื่อง บางครั้งก็ประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งก็ต้องประสบกับความผิดหวัง ขอเพียงแต่ให้เรามีพลังใจที่เข้มแข็ง อดทน พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคทั้งปวง ด้วยใจที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และก็หมั่นสั่งสมความดีอย่างไม่ย่อท้อ หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญอยู่เสมอ เมื่ออานุภาพแห่งบุญและความบริสุทธิ์ของใจเกิดขึ้น จนกระทั่งเป็นดวงกลมใสรอบตัว ติดนิ่งแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อนั้น ความสำเร็จและผลแห่งความดีทั้งหลาย จะหลั่งไหลมาสู่ตัวเรา ทำให้เราสมปรารถนาในทุกสิ่งได้อย่างเป็นอัศจรรย์ทีเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับอุปกาชีวกะไว้ว่า

เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวงอันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้วในธรรมทั้งปวง เราละธรรมที่เป็นไปในภูมิสามได้หมด หลุดพ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้วจะพึงอ้างใครเล่าเป็นศาสดา อาจารย์ของเราไม่มี บุคคลเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนกับเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดาที่หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว จะประกาศอมตธรรมในโลก เพื่อให้สรรพสัตว์ได้ธรรมจักษุ”

*มก. สังฆเภทขันธกะ (ศาสดา ๕ จำพวก) เล่ม ๙/๒๗๔

*การที่พระบรมศาสดาทรงปฏิญญาความเป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง ทรงสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงสมบูรณ์ด้วยทศพลญาณ เวสารัชชญาณ และคุณธรรมที่สามารถมองเห็นกันได้ด้วยสายตา คือ ศีล อาชีวะ เทศนา ไวยากรณ์และญาณทัสนะ ก็ทรงทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สรรพสัตว์ จนเป็นที่ยอมรับกันว่า ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก ไม่มีศาสดาอื่นยิ่งกว่า

ในโลกนี้มีบุคคล ๕ ประเภท ที่ปฏิญญาว่าเป็นศาสดาทั้งที่ตนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นได้ คำว่าศาสดาแปลว่าผู้สั่งสอนคนอื่นให้รู้จักหนทางไปสู่สวรรค์และพระนิพพาน รู้จักเรื่องบุญและบาป สั่งสอนให้ละชั่ว ทำดีและทำใจให้ผ่องใส เป็นต้น แต่เนื่องจากศาสดาบางพวกไม่รู้แจ้งเห็นจริง จึงใช้จินตมยปัญญาคิดค้นด้นเดาเอาด้วยความเห็นส่วนตัว แล้วนำมาสั่งสอนลูกศิษย์ให้ปฏิบัติตาม ก็ปฏิบัติถูกบ้างผิดบ้างตามความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ ศาสดาบางคนมีข้อปฏิบัติที่ไม่รู้ตัว ว่าจะนำพาสาวกไปสู่อบายภูมิก็มี ส่วนศาสดาที่สามารถสั่งสอนสาวกให้รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตจนสามารถหลุดพ้นจากอาสวกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้นั้น มีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นในวันนี้เราจะมาศึกษาเรื่องศาสดาหรือครู หรือเจ้าลัทธิ ๕ จำพวกกัน

ศาสดาประเภทที่ ๑ เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีศีลที่ผ่องใสไม่เศร้าหมอง แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ แล้วปฏิญาณว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงช่วยกันปกปิดโทษศาสดาของตนเอาไว้ เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ ดังเช่น ตั้งตนเป็นผู้วิเศษทำนายทายทักอวัยวะ ทายนิมิต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นต้น อย่างนี้จัดเป็นมหาศีลที่ไม่บริสุทธิ์ ใครที่ตั้งตนเป็นเจ้าพิธีกรรมอย่างนี้ถือว่าจัดเป็นศาสดาผู้ทุศีล

ศาสดาประเภทที่ ๒ เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงช่วยกันปกปิดโทษศาสดาของตนเอาไว้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา มีผู้ที่ตั้งตนเป็นศาสดาเพื่อหวังลาภสักการะ จึงมีการแสวงหาที่เรียกว่าอาชีวะไม่บริสุทธิ์ เช่น เป็นเทพเจ้าร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง เป็นผู้ทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผีเป็นต้น ซึ่งอาชีพอย่างนี้เป็นทางมาแห่งลาภสักการะจากผู้ที่ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัย ไม่รู้ความจริงของชีวิต ทำให้เกิดความหลงเชื่อถือในสิ่งที่ไม่ใช่สรณะ แม้ในปัจจุบันก็มีผู้ที่ตั้งตนเป็นครู เป็นเจ้าลัทธิ เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ทำพิธีอย่างนี้เยอะแยะทีเดียว

ศาสดาประเภทที่ ๓ เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเองเป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ แต่กลับปฏิญาณว่า เป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ครั้นจะบอกพวกคฤหัสถ์ตามความเป็นจริง ก็จะเป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธา จึงช่วยกันปกปิดความโง่เขลาเบาปัญญาของศาสดาตนเอาไว้ เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ เช่น ครูปูรณกัสสปะ ท่านผู้นี้สอนว่า การทำชั่วนั้น ถ้าไม่มีคนเห็น ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครลงโทษ ผลของความชั่วนั้น ก็ถือว่าเป็นโมฆะ จะชั่วก็ต่อเมื่อมีคนรู้ มีคนเห็นหรือจับได้เท่านั้น ส่วนความดีนั้นก็เหมือนกัน จะมีผลก็ต่อเมื่อมีคนรู้มีคนเห็น มีคนชื่นชม และมีผู้ให้บำเหน็จรางวัล ถ้าไม่มีใครรู้เห็น ไม่มีใครชื่นชม และไม่มีใครให้รางวัลแล้วก็ไม่มีผล ถือเป็นโมฆะ

คำสอนของท่านปูรณกัสสปะนี้ มีนัยว่า ทำก็ไม่ชื่อว่าทำ เช่นคนทำบุญก็ไม่ชื่อว่าทำบุญ คนทำบาปก็ไม่ชื่อว่าทำบาป โดยสรุปก็คือบุญ-บาปไม่มี ความดีความชั่วไม่มี เป็นลัทธิที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ของศีลธรรมโดยสิ้นเชิง ถือว่าเป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ เพราะยิ่งสอนไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สาวกหลงผิดและตกไปในอบายภูมิมากเท่านั้น

ศาสดาประเภทที่ ๔ เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ แต่สาวกก็รู้กันดีว่า ศาสดาของตนเป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์ ถึงกระนั้นก็ยังช่วยกันปกปิด เพราะว่าจะได้เป็นทางมาของลาภสักการะ คำว่าไวยากรณ์หมายถึงมีคำพูดหรือคำสอนที่แจ่มชัด ไม่มีเงื่อนงำ แจ่มแจ้งต่อผู้ฟังสามารถทำให้ผู้ฟังหายสงสัยและแทงตลอดในทุกๆ ประเด็นไม่เป็นปรัชญาที่พูดวกไปวนมา ชวนสงสัยไปทุกเรื่อง ยิ่งถามก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ดังเช่น ครูสัญชัยเวลัฏฐบุตร ผู้เป็นเจ้าลัทธิที่มีคำสอนที่ไม่แน่นอน ซัดส่ายลื่นไหล ตอบไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า เพื่อเอาตัวรอด เช่นตอบว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ คือไม่ยอมรับอะไรเลย และไม่ยืนยันอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้เรียกว่ามีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์

สำหรับศาสดาประเภทที่ ๕ คือ เป็นผู้มีญาณทัสนะไม่บริสุทธิ์ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นผู้มีญาณทัสนะบริสุทธิ์ แต่ก็รู้กันดีในหมู่สาวกว่า ศาสดาของพวกตนมีญาณทัสนะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังช่วยกันปกปิดเอาไว้ เพราะเกรงว่าลาภสักการะจะเสื่อมสลายไป เหมือนนิครนถ์นาฏบุตรที่หลอกลวงชาวโลกว่าตนเป็นพระอรหันต์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เมื่อครั้งที่เศรษฐีกรุงราชคฤห์อยากรู้ว่าพระอรหันต์มีจริงหรือเปล่า จึงให้เอาบาตรไม้จันทน์แดงไปห้อยไว้บนยอดไผ่ นิครนถ์อยากได้มาก จึงขอบาตรกับเศรษฐี แต่เศรษฐีไม่ยอม บอกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์จริงก็เหาะขึ้นไปเอาเอง นิครนถ์จึงทำท่ายกมือยกเท้า แสร้งทำทีเหมือนจะเหาะ แต่เบื้องหลังก่อนจะเข้าไปหาเศรษฐี ได้สั่งให้สาวกทำทีเป็นดึงมือดึงเท้าพร้อมกับให้กล่าวห้ามปรามว่า “อาจารย์ ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้เลย มันเสียศักดิ์ศรี” จากนั้นก็ช่วยกันอ้อนวอนเศรษฐีให้นำบาตรมามอบให้ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเศรษฐีก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเอง

ทั้งหมดนี้ก็คือลักษณะของศาสดา ๕ จำพวกซึ่งหมายรวมไปถึงครูและเจ้าลัทธิทั้งหลายที่มีปรากฏอยู่ในโลกนี้ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ทรงสมบูรณ์ด้วยศีล อาชีวะ ธรรมเทศนา ไวยากรณ์และญาณทัสนะ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อยังโลกให้สว่างไสวอย่างแท้จริง ทรงเป็นบรมศาสดาที่ไม่มีใครยิ่งกว่า หรือเสมอเหมือนก็ไม่มี ดังนั้นให้ทุกท่านหมั่นตรึกระลึกถึงพระพุทธคุณ และยึดเอาพระองค์ไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด แล้วชีวิตเราจะพบกับความสวัสดีมีชัย มีสุคติเป็นที่ไปกันทุกคน