วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ผู้ไกลห่างจากเบญจกามคุณ

การที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ เพราะใช้ชีวิตอย่างประมาท หลงใหลไปตามกระแสกิเลส ทำให้พลาดพลั้งไปประกอบบาปอกุศล ต้องไปเกิดในนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานบ้าง พอพ้นจากการเสวยทุกข์ในอบายภูมิ จะมาเกิดเป็นมนุษย์ชดใช้วิบากที่ยังเหลืออยู่ บางคนเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อละโลกไป ต้องไปเสวยทุกข์ใหญ่ในโลกันตมหานรก กลายเป็นตอขวางวัฏฏะ แม้มีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะผิดพลาดไปทำบาปอกุศลซ้ำและตกไปในอบายอีก การจะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ได้ ต้องอาศัยท่านผู้มีบุญบารมีมาแนะนำ เพราะฉะนั้น ทุกๆ คนอย่าได้ประมาทในชีวิต ให้รักในการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะที่ตรงนี้เท่านั้น ที่จะสามารถควบคุมใจไม่ให้ใช้ชีวิตอย่างประมาท จะทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง อยู่ตรงไหนก็มีความสุขตลอดเวลา ฉะนั้น ต้องปฏิบัติธรรมะให้ได้ทุกๆ วัน อย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว

มีธรรมภาษิตซึ่งปรากฏในเตลุกานิเถรคาถา ความว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีอาวุธ คือ ปัญญา เป็นที่พึ่งแก่ผู้มีภัย ผู้แสวงหาฝั่ง คือ พระนิพพาน พระองค์ได้ประทานบันไดอันทอดไว้ดีแล้ว อันบริสุทธิ์และสำเร็จด้วยไม้แก่น คือ พระธรรม ซึ่งเป็นบันไดอันมั่นคงแก่เราผู้ถูกกระแสตัณหาพัดพาไป ผู้อาศัยบันไดขึ้นสู่ปราสาท คือ สติปัฏฐาน ย่อมได้เห็นท่า คือ อริยมรรคอันอุดม”

อาวุธของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระปัญญาธิคุณ หรือพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ตลอด ๔๕ พรรษาของการเผยแผ่พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์นั้น พระองค์ไม่เคยใช้อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างอื่นในการเอาชนะข้าศึกศัตรู เพราะพระองค์ทรงเว้นจากการทำปาณาติบาต ทรงเว้นขาดจากการฆ่า แต่ทรงขจัดอาสวกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของเหล่าเวไนยสัตว์ ชัยชนะของพระองค์ คือ การที่เหล่าเวไนยสัตว์ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะตามพระองค์ไปด้วย

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ และได้นำมาตรัสสอนแก่สัตว์โลก เป็นสุดยอดของปัญญาที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน เปรียบเสมือนขั้นบันไดที่ให้สรรพสัตว์ได้ก้าวข้ามสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในภพสาม ซึ่งเป็นเสมือนคุกขนาดใหญ่ที่คอยกักขังสรรพสัตว์เอาไว้ โดยเฉพาะหัวข้อธรรม คือ สติปัฏฐานอันประกอบไปด้วยธรรม ๔ ประการ คือ การตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ต้องอาศัยภาวนามยปัญญาที่เกิดจากการทำใจหยุดใจนิ่งภายในตัวเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้หลุดพ้นจากอาสวกิเลส ได้บรรลุถึงอริยมรรค คือ พระนิพพานได้ เหมือนดังเรื่องของพระเถระ ผู้แสวงหาหนทางสู่ความหลุดพ้น ที่จะได้นำมาเล่าให้ศึกษากัน ดังนี้

*มก.เตลุกานิเถรคาถา เล่ม ๕๓/๓๗

*เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล มีปริพาชกท่านหนึ่งชื่อเตลุกานิ เป็นคนถือศีล นุ่งขาวห่มขาว มีอัธยาศัยไมตรี ชอบศึกษาหาความรู้ เพื่อเป็นหลักในการปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ ท่านได้ท่องเที่ยวไปตามสำนักของคณาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ซึ่งล้วนอวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ รู้หนทางไปสู่พระนิพพาน แต่ทุกครั้งที่เข้าไปหาและได้เจรจาปราศรัย ต้องพบกับความผิดหวังทุกครั้ง เพราะคำตอบของคณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ ล้วนแต่วกไปวนมาหาที่สุดมิได้ แต่เพราะท่านเป็นผู้สั่งสมบุญมาดี จึงสามารถสอนตนเองได้ว่า สิ่งที่ท่านเหล่านั้นร่ำเรียนกัน ไม่ใช่ปฏิปทาเพื่อนำไปสู่พระนิพพาน

ปกติของปริพาชกจะมีอัธยาศัยรักความเงียบสงบ ไม่ชอบเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮาเหมือนเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน เพราะท่านมีอุปนิสัยในการประพฤติพรหมจรรย์ต่อเนื่องกันมาหลายชาติ กระทั่งวันหนึ่ง การแสวงหาทางสู่ความหลุดพ้นของท่านได้สิ้นสุดลง เมื่อมีโอกาสมาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยหลังจากที่ท่านได้เที่ยวจาริกไปตามสำนักอาจารย์ต่างๆ แล้ว ก็กลับมายังกรุงสาวัตถี ขณะนั้นท่านได้เห็นมหาชนกำลังถือดอกไม้และของหอมไปวัดพระเชตวัน จึงถามว่า พุทธบริษัททั้งหลายต่างมุ่งหน้าไปที่ไหนกัน เมื่อทราบว่าจะไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความใฝ่รู้ ท่านจึงเดินทางไปฟังธรรมพร้อมกับเหล่าพุทธบริษัท หลังจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็พบคำตอบที่แสวงหามาอย่างยาวนานว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้รู้แจ้งโลกอย่างแท้จริง ทรงนำสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง จึงทำให้ปริพาชกเกิดความเชื่อมั่นว่า ท่านผู้นี้เป็นบรมครูที่แท้จริง จากนั้น จึงตัดสินใจเปลี่ยนจากการนุ่งขาวห่มขาว มาขอบวชเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา

ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ท่านได้สั่งสมมาอย่างดีแล้ว กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ เมื่อบวชแล้ว ใช้เวลาไม่นานนักในการบำเพ็ญสมณธรรม ในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ผู้สมบูรณ์พร้อมด้วยวิชชาและปฏิสัมภิทาญาณ ทำให้ความปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะของท่าน สมปรารถนาในวันนั้น

วันหนึ่ง ขณะที่พระเถระกำลังนั่งสนทนาธรรมอยู่กับเพื่อนสหธรรมิก เมื่อพิจารณาถึงคุณวิเศษที่ตนได้บรรลุ และหวนระลึกถึงการปฏิบัติของตนในครั้งก่อน จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพระบรมศาสดาว่า “แต่ก่อน เราแม้มีความเพียร เที่ยวแสวงหาธรรมเครื่องพ้นทุกข์อยู่นาน แต่ไม่ได้ผลแม้เพียงความสงบใจ จึงเที่ยวถามสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า ใครหนอในโลกนี้ เป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้ได้บรรลุธรรมอันหยั่งลงสู่อมตะ เราจักปฏิบัติธรรมของใคร ในเมื่อใจของเรายังดิ้นรนไปมาเพราะกิเลส เหมือนปลาที่ติดเบ็ด เพราะหลงกินเหยื่อของนายพราน เราถูกบ่วงใหญ่ คือ กิเลสผูกรัดไว้อย่างแน่นหนา เหมือนท้าวเวปจิตติอสูร ถูกผูกด้วยบ่วงของท้าวสักกะ เราไม่สามารถทำลายบ่วง คือ กิเลสนั้นให้หลุดออกไปได้ จึงไม่พ้นจากความโศกและความร่ำไร ใครเล่าในโลกนี้ จะสามารถช่วยเราผู้ถูกผูกแล้วให้หลุดพ้นไปได้ เราจะยอมรับสมณะหรือพราหมณ์ท่านใดไว้เป็นผู้แสดงธรรมอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส เราจะปฏิบัติธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากชราและมรณะของใคร

จิตของเราถูกร้อยไว้ด้วยความลังเลสงสัย มากไปด้วยความแข่งดีและความกระด้างอันเกิดจากความทยานอยาก ขอท่านจงดูเถิด กายอันเนื่องด้วยสัมผัสทั้ง ๖ เกิดขึ้นในที่ใด ย่อมแล่นไปในที่นั้นทุกเมื่อ เราจมอยู่ในห้วงน้ำใหญ่อันนำดิน คือ ธุลีไปไม่ได้ เป็นห้วงน้ำที่ลาดไปด้วยความริษยา ความแข่งดีและความฟุ้งซ่านในกามคุณทั้งหลาย เป็นเช่นกับห้วงน้ำใหญ่ ที่มีเมฆ คือ ความฟุ้งซ่านเป็นเครื่องคำรน มีสังโยชน์เป็นหยาดฝน ย่อมนำบุคคลผู้มีความเห็นผิดไปสู่สมุทร คือ อบาย ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงทำฝั่งอันเป็นเครื่องกั้นกระแสของตัณหาเหล่านั้นเถิด อย่าให้กระแสตัณหาอันเกิดจากใจ พัดพาท่านทั้งหลายไป

พระศาสดาผู้มีอาวุธ คือ ปัญญา เป็นผู้ที่หมู่ฤๅษีได้อาศัย เป็นที่พึ่งแก่เราผู้มีภัย ผู้แสวงหาฝั่ง คือ นิพพาน พระองค์ได้ทรงประทานบันไดอันทอดไว้ดีแล้ว ที่ทำด้วยไม้แก่น คือ พระสัทธรรม เป็นบันไดมั่นคงแก่เรา ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดไป พระพุทธองค์ทรงบรรเทากิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง ที่หมักดองอยู่ในใจเราให้หมดสิ้นไป”

นี่เป็นวาทธรรมของพระอรหันต์ ที่ท่านหลุดพ้นแล้ว เราทั้งหลายก็เช่นกัน หากปรารถนาจะหลุดพ้นจากภพสาม ต้องน้อมนำธรรมะของพระพุทธองค์มาปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ฟังพอผ่านๆ หรือศึกษาพอเป็นความรู้ประดับสติปัญญา แต่ต้องนำมาขบคิดพิจารณาและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง แม้พระพุทธองค์จะทรงดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว แต่พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ยังคงทนต่อการพิสูจน์ เป็นเอหิปัสสิโก พร้อมที่จะให้เรานำไปปฏิบัติและเข้าถึงได้ เพียงน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง เพราะธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างปรารถนาความสุขและความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวล ฉะนั้น ตอนนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับเรา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเรา ถ้าเราตั้งใจจริง จะสมความปรารถนากันทุกๆ คน

ไม่มีความคิดเห็น: