สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนต่างปรารถนาความสุข ไม่ปรารถนาความทุกข์ และต้องการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ตลอดจนความปลอดภัยให้กับชีวิต มีผู้คนจำนวนมาก แม้จะมีความสุขทางด้านทรัพย์สินเงินทอง หรือยศถาบรรดาศักดิ์ แต่ยังต้องทุกข์ใจในหลายๆ เรื่อง บางคนแสวงหาความสุขมาตลอดชีวิต แต่ยังไม่เคยพบความสุขที่แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า ทางที่จะนำไปสู่ความสุขอันเป็นนิรันดร์นั้น คือ การทำใจให้หยุดนิ่งในกลางกาย กลั่นใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งหลุดพ้นจากต้นแหล่งแห่งทุกข์ หลุดจากความมืดมาเป็นความสว่างแห่งปัญญาความรู้แจ้งเห็นแจ้ง ดังนั้นการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตของผู้ที่ปรารถนาความสุขอย่างแท้จริง
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏในขุททกนิกาย เตสกุณชาดก ว่า
“ปัญญาเป็นเครื่องวินิจฉัยข้อความที่ได้เล่าเรียนมา ปัญญาเป็นเครื่องเพิ่มพูนเกียรติคุณและชื่อเสียง นรชนในโลกนี้ ผู้ประกอบด้วยปัญญาแล้ว ย่อมหาความสุขได้ ในท่ามกลางความทุกข์ที่เกิดขึ้น”
วิชาความรู้ต่างๆ ที่คนทั้งหลายศึกษาเล่าเรียนกันอยู่ในโลกนี้ เป็นแค่ความรู้เพื่อใช้ในการทำมาหากิน หล่อเลี้ยงสังขารร่างกายให้ดำรงอยู่เท่านั้น ไม่ได้เป็นความรู้ที่จะนำพาเราให้หลุดพ้นจากโลก หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เป็นความรู้ที่วนอยู่ในภพสาม เพราะผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน ก็ยังไม่รู้จักวิธีการที่จะหลุดพ้นจากภพสาม
ส่วนวิชชาความรู้ในพระพุทธศาสนา เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ สามารถนำผู้ประพฤติปฏิบัติให้หลุดพ้นออกจากภพทั้งสามได้ กระทั่งเลิกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารไปสู่อายตนนิพพาน ซึ่งพระบรมศาสดาผู้สั่งสอนสุดยอดของวิชชา เป็นผู้ที่มีจิตหลุดพ้นออกจากภพสาม กำจัดกิเลสอาสวะได้แล้ว จึงได้สอนวิชชาพ้นโลก สอนเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นความรู้อันประเสริฐ สมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะได้ศึกษา
*มก. มิคสิรเถรคาม เล่ม ๕๑/๑๔๙
*เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของปริพาชกท่านหนึ่ง ซึ่งมีมนตร์รู้การไปเกิดใหม่ของมนุษย์ เรื่องมีอยู่ว่า ปริพาชกคนนี้ อดีตชาติที่ผ่านมาเคยเกิดในพระพุทธศาสนา เคยสั่งสมบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ชาติที่เพิ่งผ่านมานี้ ได้เกิดในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เมื่อเจริญเติบโตขึ้น บุญบันดาลให้ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันหนึ่ง ก็เกิดมีจิตเลื่อมใส ได้นำหญ้าคา ๘ กำมือ ไปถวายพระบรมศาสดา ด้วยบุญกุศลที่ได้กระทำในครั้งนั้น ได้ส่งผลให้ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่สองภพภูมิ คือ ระหว่างภพมนุษย์กับภพเทวดา เท่านั้น
เมื่อมาถึงพุทธกาลนี้ ได้มาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในแคว้นโกศล หมู่ญาติตั้งชื่อให้ว่า มิคสิระ เพราะเกิดในช่วงเดือนมกราคม เมื่อมิคสิรพราหมณ์เจริญเติบโตขึ้น ได้เล่าเรียนวิชาและศิลปศาสตร์อย่างที่พวกพราหมณ์ทั้งหลายศึกษากัน และมีวิชาหนึ่งที่มิคสิรพราหมณ์มีความชำนาญเป็นพิเศษ คือ วิชาฉวสีสะ คือ มนตร์เคาะกะโหลกศีรษะ วิชานี้ต้องร่ายมนตร์ ก่อนที่จะเอาเล็บมือไปเคาะกะโหลกศีรษะของคนตาย เมื่อเคาะดูก็จะรู้ว่าคนนี้ตายแล้วไปเกิดอยู่ภพภูมิไหน แม้จะตายไปแล้วถึง ๓ ปี เมื่อเอาเล็บมือเคาะกะโหลกศีรษะยังสามารถรู้ได้ว่าไปเกิดอยู่ที่ภพภูมิไหน
วันหนึ่ง เมื่อบุญบารมีเริ่มแก่กล้า มิคสิรพราหมณ์เกิดความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย ไม่ปรารถนาจะใช้ชีวิตในเพศฆราวาสอีก จึงได้เข้าไปขออนุญาตบิดามารดาออกบวช บิดามารดาเห็นความตั้งใจของลูกชายจึงอนุญาต มิคสิรพราหมณ์หนุ่มออกบวชเป็นปริพาชก แล้วใช้วิชามนตร์เคาะกะโหลกศีรษะ เดินทางหาประสบการณ์ไปยังสถานที่ต่างๆ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง มีลาภสักการะมากมาย และเป็นที่เคารพเกรงใจของชาวพระนคร
วันหนึ่งมิคสิรปริพาชก เดินทางมาถึงเมืองสาวัตถี ได้เข้าไปที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร และเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่พระคันธกุฎี แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์สามารถรู้สถานที่เกิดในภพภูมิใหม่ของคนที่ตายไปแล้วได้” พระบรมศาสดาสดับแล้ว จึงตรัสว่า “เธอมีวิชาอะไรถึงสามารถรู้ได้” มิคสิรปริพาชกจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เล่าเรียนมนตร์ชื่อว่าฉะวะสีสะ เมื่อเอาเล็บมือเคาะกะโหลกศีรษะดูแล้ว สามารถบอกได้ทันทีว่า คนนี้ตายแล้วไปเกิดยังภพภูมิไหน แม้กระทั่งไปเกิดในนรกยังสามารถรู้ได้”
จากนั้นพระบรมศาสดาจึงรับสั่งให้คนไปนำเอากะโหลกศีรษะของปุถุชนมา เมื่อมิคสิรปริพาชกเอาเล็บเคาะดู ก็ตอบได้หมดว่า เจ้าของกะโหลกศีรษะตายแล้วไปไหน พระบรมศาสดาจึงรับสั่งให้นำกะโหลกศีรษะของพระอรหันต์มา แล้วตรัสว่า “เธอจงเอาเล็บเคาะกะโหลกศีรษะนี้ แล้วบอกหน่อยว่า เจ้าของกะโหลกศีรษะนี้เป็นใคร ไปบังเกิดยังภพภูมิไหน” มิคสิรปริพาชกจึงร่ายมนตร์เอาเล็บมือเคาะกะโหลกศีรษะแล้วไม่เห็นที่สุด ไม่เห็นเงื่อนงำท่ามกลางแต่อย่างใด พระบรมศาสดาทอดพระเนตรกิริยาอาการที่กระสับกระส่ายของเขา จึงตรัสถามว่า “เธอยังไม่รู้ว่าเจ้าของกะโหลกศีรษะไปบังเกิดที่ไหนหรือ” มิคสิรปริพาชกยังไม่ลดละความพยายาม ได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์จะพยายามร่ายมนตร์ต่อไป
แม้มิคสิรปริพาชกจะร่ายมนตร์กี่รอบ ยังไม่สามารถบอกภพภูมิการไปเกิดของพระอรหันต์ได้ พระบรมศาสดาเห็นอาการท้อใจของเขา จึงตรัสขึ้นว่า “คนที่มีความรู้เฉพาะการประกอบพิธีกรรม เป็นความรู้นอกคำสอนของเราตถาคต ถึงจะร่ายมนตร์อย่างไร ยังไม่สามารถหยั่งรู้คติของพระขีณาสพได้” มิคสิรปริพาชกรู้สึกเก้อเขินถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น
พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นอาการไม่สบายใจของมิคสิรปริพาชก จึงตรัสว่า “เธออึดอัดไม่สบายใจหรือ” มิคสิรปริพาชกจึงกราบทูลว่า “ใช่พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สามารถบอกการไปเกิดของเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ได้” แล้วทูลถามอีกว่า “แล้วพระพุทธองค์ทรงทราบหรือพระเจ้าข้า” พระบรมศาสดาตรัสว่า “เราตถาคตรู้คติของเจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ แม้ความรู้ที่ยิ่งกว่านี้ เราตถาคตก็รู้” แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเฉลยให้พราหมณ์ฟังว่า “เจ้าของกะโหลกศีรษะนี้ไปสู่อายตนนิพพานแล้ว”
มิคสิรปริพาชกจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์อยากได้วิชานี้ ขอพระองค์โปรดสอนให้กับข้าพระองค์ด้วยเถิด” พระบรมศาสดาได้ตรัสบอกเขาว่า “ถ้าเธออยากได้วิชานี้ เธอต้องบวชก่อน” แล้วทรงให้มิคสิรปริพาชกบวช เมื่อบวชแล้ว ทรงให้บำเพ็ญสมถกรรมฐานก่อน ต่อมาทรงแนะนำวิปัสสนากรรมฐานให้ มิคสิรภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นในฌาน ได้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานไม่นานนักได้บรรลุพระอรหัตผลอันเลิศ
จะเห็นได้ว่า วิชาความรู้ภายนอกพระพุทธศาสนา ยังเป็นแค่ความรู้ที่ติดอยู่ในภพสาม เพราะผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ก็ยังไม่หมดกิเลส ใจยังข้องเกี่ยวอยู่ในภพสาม จึงไม่สามารถบอกการไปสู่อายตนนิพพานของพระอรหันต์ทั้งหลายได้ ต่างจากวิชชาความรู้ในพระพุทธศาสนา ที่รู้แจ้งเห็นแจงแทงตลอดทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ เนื่องจากผู้สอน คือ พระบรมศาสดาผู้ทรงหลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะทั้งปวง หลุดพ้นแล้วจากภพทั้งสาม พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และทรงมีพระมหากรุณาสั่งสอนมนุษย์และสรรพสัตว์ให้เลิกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ดังนั้น เมื่อเรามาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา เราควรจะศึกษาวิชชาความรู้ในพระพุทธศาสนานี้ให้แตกฉาน เพราะความรู้นี้เป็นความรู้แจ้งเห็นจริง ที่มนุษย์ทุกคนควรศึกษาเรียนรู้ ควรให้โอกาสกับตัวเราเองในการเข้ามาศึกษาความรู้อันเป็นสากลนี้ และจะเป็นประโยชน์ต่อทุกๆ คน ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและเผ่าพันธุ์ เราทุกคนควรแสวงหาความรู้เพื่อความหลุดพ้น เพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากภพสามไปสู่อายตนนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น