วันอังคารที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อริยทรัพย์ โลกียทรัพย์

การเดินทางไกลในสังสารวัฏ เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางคือพระนิพพานนั้น จำต้องมีเสบียงเดินทางไกล ที่จะทำให้ชีวิตปลอดภัยและมีชัยชนะ คำว่า ปลอดภัย คือ ปลอดจากภัยในอบาย ซึ่งหมายถึง ไม่ต้องพลัดตกลงไปเกิดในภูมิของนรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน แต่ดำรงชีวิตอยู่อย่างผู้มีชัยชนะ ในเบื้องต้นก็คือ เวียนวนอยู่ในสองภพภูมิเท่านั้น ได้แก่ เทวโลกและมนุษย์โลก เวลาเป็นมนุษย์ก็ตั้งใจสั่งสมบุญสร้างบารมี พอหมดอายุขัย ก็ได้ไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ เมื่อถึงขีดถึงคราวก็ลงมาสร้างบุญบารมีกันต่อ มาเพิ่มเติมบุญบารมีทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้กลั่นกล้าและเข้มข้นยิ่งๆ ขึ้นไป นี่คือชีวิตที่ปลอดภัยและมีชัยชนะในระหว่างเวียนว่ายตายเกิด อย่างไรก็ตาม การจะได้ชัยชนะที่แท้จริงที่ไม่มีวันกลับแพ้นั้น ต้องได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายอันสูงสุด ดังนั้น เพื่อความมั่นใจและการเดินทางไกลที่ปลอดภัย สิ่งที่เราต้องทำให้ได้ทุกวัน คือ หมั่นนั่งสมาธิเจริญภาวนา เพราะจะทำให้เรามีมหาสติมหาปัญญา สามารถดำเนินชีวิตได้ถูกต้องและบริสุทธิ์อย่างพระอริยะเจ้าทั้งหลาย จนกระทั่งได้เข้าสู่พระนิพพาน

มีธรรมภาษิตซึ่งปรากฏในขุททกนิกาย เถรคาถา ว่า

ตัณหา ย่อมเจริญแก่สัตว์ผู้ประมาท ตัณหาอันชั่วช้า ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น”

จากพระคาถานี้แสดงให้เห็นว่า เชื้อแห่งตัณหาเป็นผลพวงมาจากความประมาท ยิ่งประมาทมากกิเลสตัณหาจะครอบงำใจได้มาก และความเศร้าหมองความทุกข์ทั้งหลายจะตามมา ตัณหาความทะยานอยาก นับเป็นวัฏจักรแห่งทุกข์ในวัฏสงสารทีเดียว เชื้อโรคเพียงนิดหน่อยหากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาย่อมระบาดไปทั่วร่างกายมากขึ้น ฉันใด เชื้อแห่งตัณหาหากปล่อยไว้ด้วยความประมาทชะล่าใจย่อมพอกพูนมากขึ้น ฉันนั้น

ฉะนั้น ผู้รู้ทั้งหลาย ท่านจึงไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต สิ่งใดที่หมิ่นเหม่ต่ออบายภูมิ ท่านจะไม่ไปเกี่ยวข้อง ดังเช่นพระเถระท่านหนึ่ง ที่ปฏิเสธทรัพย์สมบัติที่สามารถใช้สอยทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด จากหมู่ญาติที่ปรารถนาจะยกให้ถ้าท่านลาสิกขา พระเถระคิดอย่างไรกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เราก็มาติดตามศึกษากัน ดังนี้

พระเถระรูปนี้มีนามว่ามาลุงกยะ ในอดีตชาติก่อนที่จะมาเกิดในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้สั่งสมบุญบารมีประเภทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะท่านทราบดีว่าการสร้างบารมี คือ เป้าหมายหลักของการมาเกิดในแต่ละชาติ และชีวิตหลังความตายนั้นยืนยาวกว่าชีวิตในโลกมนุษย์มากนัก ท่านจึงตระหนักเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมตอนเป็นดีกว่าไปเห็นตอนตาย เพราะถ้าไปเห็นตอนตายแล้ว ก็จะไม่สามารถแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรได้ ดังนั้น ท่านจึงไม่ประมาทในชีวิต และสั่งสมบุญสร้างบารมีอยู่เป็นนิตย์มิได้ขาด

ครั้นมาในภพชาติสุดท้าย ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ได้ทำไว้ ได้ส่งผลให้ท่านมาเกิดในตระกูลที่ทำหน้าที่ดูแลการเงินประจำท้องพระคลังของพระเจ้าปเสนทิโกศล โดยมีชื่อว่ามาลุงกยบุตร เมื่อโตเป็นหนุ่ม เนื่องจากในชาติหลังๆ ท่านใช้ชีวิตอย่างสมถสันโดษด้วยการออกบวชเป็นบรรพชิตมาตลอด ฉะนั้น เมื่อท่านมีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์และได้ฟังธรรม จึงเหมือนถูกตามกลับมาเป็นพุทธบุตรอีก ก่อนหน้านี้ที่ลืมไปนั้น เพราะความตายมาพรากเอาความทรงจำไปเท่านั้น แต่ในใจลึกๆ เหมือนกับว่าชีวิตขาดอะไรไป

ฉะนั้น เมื่อฟังพระธรรมจบ ท่านจึงตัดสินใจบวชทันที การตัดสินใจอย่างฉับพลันเช่นนี้ ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ต้องมีอัธยาศัยความคุ้นกับการประพฤติพรหมจรรย์มาหลายชาติ ท่านจึงทำได้ง่าย เพราะคนเราคุ้นเคยอย่างไรมักจะทำอย่างนั้น เหมือนบางคนเข้าใจไปเองว่าขายหรือดื่มเหล้าไม่บาปไม่เดือดร้อนใคร เพราะเงินก็เงินของเราเองไปซื้อเหล้า การแสดงทัศนคติเช่นนี้ แม้ไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่นโดยตรง แต่ก็เบียดเบียนตัวเอง ที่คุ้นกับการทำเช่นนี้ เพราะในอดีตคุ้นกับการคบคนพาล เป็นเรื่องของการคุ้นเคยกับการทำชั่ว แต่พระเถระท่านทำความดีมามาก จึงคุ้นเคยกับความดี ดังนั้น ท่านจึงทำความดีได้ง่าย พอตัดสินใจว่าจะบวชก็บวชได้ทันที โดยไม่ต้องกังวล

เนื่องจากว่าภพชาติที่ผ่านๆมา ท่านได้ปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิมาตลอด เป็นผลให้ท่านสามารถทำใจหยุดใจนิ่งได้ดี จึงมีผลการปฏิบัติธรรมที่ก้าวหน้าเร็วมาก และไม่นานท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวกิเลสที่เป็นเหตุแห่งการเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสาร และท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา คือ สิ้นอาสวกิเลส มีตาทิพย์ หูทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้การไปเกิดมาเกิดของสรรพสัตว์ มีฤทธิ์ทางใจ เป็นพระอรหันต์ผู้มีอานุภาพมาก

หลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมสิ้นกิเลสอาสวะ ท่านก็นึกถึงญาติโยม อยากจะให้เขาได้รับความสุขอย่างที่ท่านได้รับบ้าง จึงกราบลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ออกเดินทางทันที ฝ่ายญาติๆ ของท่าน ครั้นทราบว่าท่านกลับมาบ้าน จึงพากันมากราบ หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ญาติๆ ก็แสดงทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของตระกูลให้ท่านดู โดยขนเอามากองไว้ข้างหน้าท่าน แล้วกราบเรียนท่านว่า “ถ้าท่านสึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาส เราทุกคนยินดียกทรัพย์มรดกที่สะสมมานับตั้งแต่บรรพบุรุษให้ท่านเป็นเจ้าของทั้งหมด ท่านจงลาสิกขาออกมาเถิด เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไม่มีใครจะดูแลต่อได้ อีกอย่างที่สำคัญ คือ ตระกูลของเราจะมีผู้สืบสกุลที่มีความสามารถอย่างท่าน และการอยู่ครองเรือนสามารถทำบุญได้เหมือนกัน ไม่เห็นต้องบวชให้ลำบากเลย” หมู่ญาติคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ก็ช่วยกันอ้อนวอนกึ่งบังคับเพื่อให้ท่านสึก

แม้เหตุการณ์จะดำเนินไปเช่นนี้ พระเถระก็ไม่ยินดียินร้ายต่อทรัพย์สมบัติที่กองอยู่ต่อหน้าและคำพูดที่หมู่ญาติสรรหามาเพื่อเกลี่ยกล่อมให้ท่านลาสิกขา เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ จึงไม่มีกิจที่เนื่องด้วยฆราวาสแล้ว และเป็นสัมมาทิฏฐิบุคคลที่มั่นคงและสมบูรณ์ที่สุด มีสติและปัญญาสมบูรณ์ตลอดเวลา กิเลสตัณหาไม่มีแก่ท่านแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง ท่านจึงเหาะไปยืนสงบนิ่งสง่างามในอากาศท่ามกลางหมู่ญาติแล้วแสดงธรรมโปรดว่า “ทรัพย์ที่พวกท่านมีอยู่นั้น มีความหายนะคือตัณหาครอบงำอยู่ เราทุกคนเหมือนลิงที่ต้องการทรัพย์สมบัติคือผลไม้ในป่า ต้องเร่ร่อนแสวงหาไปเรื่อยๆ เพราะตัณหาความทะยานอยาก และตัณหาความทะยานอยากนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวันเต็ม แม้แต่ภพสามหรือพรหมโลกยังแคบเกินไปที่จะบรรจุตัณหาของสรรพสัตว์ให้เต็มได้ ผู้ประมาทจะทำให้ตัณหาพอกพูนขึ้น ตัณหาที่พอกพูนขึ้นจะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่ายินดีในทรัพย์สมบัติของนอกกายนี้เลย” เมื่อหมู่ญาติเห็นการแสดงปาฏิหาริย์พร้อมกับได้ฟังธรรมจากท่าน จึงหูตาสว่าง มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึงในที่สุด และได้เป็นตระกูลอุปัฏฐากบำรุงพระภิกษุสามเณรนับจากวันนั้นเป็นต้นมา

เราจะเห็นว่า อริยทรัพย์ภายในประเสริฐกว่าโลกียทรัพย์ทรัพย์ภายนอก ที่สามารถเอาชนะตัณหาความทะยานอยากได้ อีกทั้งจะทำให้เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จะเป็นผู้มีจิตใจหนักแน่นไม่หวั่นไหวอย่างที่ปุถุชนทั้งหลายกำลังเป็นกันอยู่ เพราะจิตใจของเขาไม่มีหลักเกาะ จึงขาดที่พึ่ง ดังนั้น ทรัพย์สินเงินทองที่มี ส่วนหนึ่งนอกจากเอาไว้ใช้หล่อเลี้ยงสังขารและบำรุงครอบครัวแล้ว เราต้องนำมาใช้สร้างบารมี เพื่อชีวิตของเราจะได้ไม่ตกอยู่ในความประมาท และจะได้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองฝ่ายเดียว

เมื่อเรายิ่งหมั่นสั่งสมบุญให้ทานอยู่เป็นนิตย์ ผลแห่งทานจะส่งผลให้เรามีความสุขสบาย ถึงพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการทำมาหากินมากนัก และเมื่อจะรักษาศีลหรือเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำทาน จะทำให้เราสามารถทำได้ง่าย เพราะไม่ต้องไปมัวกังวลกับเรื่องปากเรื่องท้อง ฉะนั้น หนทางการสร้างบารมีของพวกเรา จึงจำเป็นต้องบำเพ็ญมหาทานบารมีให้มากๆ เพื่อระยะทางแห่งพระนิพพานจะได้ย่นย่อเข้ามา เราจะได้ไปสู่อายตนนิพพาน ไปเสวยเอกันตบรมสุข สุขอย่างยอดเยี่ยมที่ไม่มีสุขใด ไม่ว่าจะเป็นสุขของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหม หรือของอรูปพรหม ก็ไม่อาจเทียบได้กับสุขในพระนิพพาน ฉะนั้น ให้พวกเราตั้งใจกันให้ดี ให้สั่งสมบุญบารมีให้เต็มที่

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เป็นบทความที่ดีมาก