วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

อย่าขาดความจริงใจต่อกัน

นับจากก้าวแรกของชีวิต ที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์จนถึงปัจจุบันนี้ หากเราย้อนความทรงจำกลับไปในอดีต เราจะพบทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีที่เราทำผ่านมา ถ้าเป็นสิ่งที่ดีจะทำให้ใจแช่มชื่นเบิกบาน แต่ถ้าไม่ดีจะรู้สึกเสียใจและเกิดความสลดหดหู่ใจ ดังนั้น ถ้าพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว หากเราพบว่าสิ่งใดเป็นบาปอกุศลให้งดเว้นเสีย คงไว้แต่คุณงามความดี นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะสร้างแต่บุญกุศลอย่างเดียว เพื่อผลคือความสุขในบั้นปลาย เพราะถ้าหากปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงใหลไปตามกระแสกิเลสแล้ว ต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในอบายภูมิ ฉะนั้น เราต้องดำเนินชีวิตไปบนเส้นทางแห่งความดีโดยไม่หวั่นไหว พร้อมกับการประพฤติปฏิบัติธรรม หมั่นทำใจของเราให้หยุดให้นิ่งที่ศูนย์กลางกายเป็นประจำทุกๆ วัน สักวันหนึ่งเราจะได้บรรลุถึงฝั่งแห่งความสุขและความสำเร็จ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า

น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ สชฺชุขีรํว มุจฺจติ

ฑหนฺตํ พาลมนฺเวติ ภสฺมาจฺฉนฺโนว ปาวโก

กรรมชั่วที่บุคคลทำแล้ว เมื่อยังไม่ส่งผล ก็เหมือนกับน้ำนมที่เพิ่งรีดในขณะนั้น ยังไม่แปรเปลี่ยนสภาพไป แต่บาปกรรมนั้น ย่อมตามแผดเผาคนพาล เหมือนกับไฟที่ถูกเถ้าถ่านกลบไว้ฉะนั้น”

กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำไปแล้ว ล้วนมีผลด้วยกันทั้งนั้น คนเราจะเป็นคนดีได้ ต่อเมื่อได้ทำความดี และความดีนั้น ต้องหมั่นย่ำหมั่นทำบ่อยๆ ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ในการอยู่ร่วมกันจะต้องทำดีต่อกัน มีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน ถ้าเป็นสามีภรรยาต้องไม่ประพฤตินอกใจกัน จึงจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เ มื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ หักห้ามใจไม่ให้ไหลไปตามอำนาจของกิเลส ต้องรู้จักอดทนเป็นกัลยาณมิตรให้กันและกัน ชีวิตคู่จึงจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างนี้ถือว่าเป็นคู่บุญคู่บารมี ส่วนมากสามีภรรยาที่แตกแยกกัน อยู่ร่วมกันได้ไม่นาน มีสาเหตุมาจากการประพฤตินอกใจกัน ดังเรื่องต่อไปนี้

*มก. โกสิยชาดก เล่ม ๕๖/๕๐๘

*ในครั้งพุทธกาล มีสามีภรรยาคู่หนึ่งในเมืองสาวัตถี สามีเป็นคนที่มีความศรัทธาในพระรัตนตรัย เข้าวัดฟังธรรมอยู่เป็นประจำ ส่วนภรรยาเป็นคนเกียจคร้าน ทั้งไม่สนใจที่จะเข้าวัดฟังธรรม เมื่อแต่งงานกันใหม่ๆ ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ต่อมาภรรยาแอบไปมีชู้กับชายอื่น พอถึงเวลาทำงาน จะนอนทำทีว่าไม่สบาย สามีไม่รู้ว่านี่เป็นมารยาหญิง จึงถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “หน้าตาเธอไม่สดชื่น เธอป่วยเป็นโรคอะไรหรือ” นางตอบว่า “ฉันถูกลมตี รู้สึกอึดอัดจุกเสียดแน่นท้อง” อุบาสกจึงถามว่า “ปกติเธอกินอะไร โรคลมจึงจะหายเล่า” นางตอบว่า “ต้องได้ข้าวยาคูและเนยใส จึงจะหาย”

เนื่องจากอุบาสกรักภรรยามาก จึงไปแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่ภรรยาต้องการมาให้ พอลับหลังสามีแล้ว นางก็แอบไปหาชายชู้ ครั้นนานวันเข้า อุบาสกก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ครุ่นคิดด้วยความเป็นห่วงว่า “เห็นทีภรรยาของเราคงจะไม่หายป่วยง่ายๆ” จึงคิดจะทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วย ในเย็นวันหนึ่ง อุบาสกจึงถือของหอมและดอกไม้ไปวัดพระเชตวัน เมื่อไปถึง พระบรมศาสดาตรัสก็ทักทายว่า “อุบาสก ทำไมระยะหลังๆ นี้ ท่านจึงไม่ได้มาวัด” อุบาสก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของข้าพระองค์ป่วยเป็นโรคลมเสียดแทงอยู่ตลอดเวลา ข้าพระองค์ต้องคอยออกไปหายามารักษา แต่นางไม่หายขาดสักที ทำให้ข้าพระองค์ไม่มีเวลามาวัด ที่มาครั้งนี้ ก็เพื่อมาขอความเมตตาพระพุทธองค์ ขอทรงช่วยภรรยาของข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดาทรงเห็นด้วยญาณทัสนะว่า ภรรยาของอุบาสกได้ประพฤตินอกใจสามี จึงตรัสบอกว่า “ดูก่อนอุบาสก ภรรยาของท่านเอาแต่นอนอยู่อย่างนี้ ถึงอย่างไร โรคคงไม่หายหรอก ท่านต้องปรุงยาอย่างนี้ให้นางดื่ม โรคจึงจะหาย แม้ชาติที่ผ่านมา เราก็เคยบอกท่านแล้วเช่นกัน แต่ในชาตินี้ท่านกลับลืมเสียแล้ว” จากนั้นทรงตรัสเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่า

ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม ก็ได้เดินทางไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลา ครั้นเล่าเรียนสำเร็จแล้ว ก็กลับมาเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สั่งสอนลูกศิษย์อยู่ที่เมืองพาราณสี ขณะนั้น มีพราหมณ์บ้านนอกคนหนึ่ง ได้มาเล่าเรียนไตรเพทและศิลปศาสตร์ต่างๆ เมื่อเรียนจบแล้ว ก็ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองพาราณสี พราหมณ์จะแวะเวียนมาหาพระโพธิสัตว์อยู่เป็นประจำ แต่นางพราหมณีภรรยาของเขา ไม่ประพฤติธรรม แอบประพฤตินอกใจสามี อีกทั้งยังเป็นคนเกียจคร้านการงาน พอถึงเวลาทำงานมักจะอ้างว่าป่วยไม่สบายทุกครั้งไป

พราหมณ์เห็นอาการของภรรยา จึงเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เธอเป็นอะไรหรือ” นางพราหมณีตอบว่า “ป่วยเป็นโรคลม ต้องได้กินข้าวยาคูและเนยใสโรคถึงจะหาย” พราหมณ์รักในภรรยามาก นึกว่านางป่วยจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าภรรยาจะแอบนอกใจ จึงรีบไปหาสิ่งที่ภรรยาต้องการมาให้ทันที เมื่อแสวงหาสิ่งต่างๆ มาให้ภรรยาได้กินตามใจชอบ แต่นางก็แกล้งไม่ยอมหายจากโรคสักที

วันหนึ่ง พราหมณ์จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เล่าถึงสาเหตุที่ตนเองไม่มีเวลาเข้ามาที่สำนักเพื่อรับฟังโอวาทเหมือนแต่ก่อน เพราะมัวแต่เสียเวลาแสวงหาสิ่งต่างๆ มาให้ภรรยาทานเพื่อแก้โรคลม พระโพธิสัตว์ฟังแล้วก็ทราบว่า พราหมณ์ถูกภรรยาหลอกเสียแล้ว จึงแนะนำวิธีแก้ไขให้ว่า “ตั้งแต่นี้ไป ท่านไม่ต้องไปหาอะไรให้นางทานอีก เราจะแนะนำวิธีที่จะทำให้นางหายขาดจากโรคลมทันที โดยท่านต้องไปหาใบไม้ ๕ อย่าง และผลไม้ ๓ อย่าง เอามาโขลกใส่ในมูตรโค แล้วแช่ไว้ในภาชนะทองแดงใหม่ๆ จากนั้นให้ถือหวายหรือไม้เรียวเข้าไปหานางพร้อมกับกล่าวว่า “เธอจงกินยานี้แล้วโรคจะได้หาย หากเธอไม่กินยา ให้ลุกขึ้นมาทำการงานให้สมกับค่าอาหารที่ทานเข้าไป หากยังดื้อ ให้ใช้หวายหรือไม้เรียวเฆี่ยนตีนาง”

ครั้นพราหมณ์ฟังคำแนะนำแล้ว ก็กลับไปบ้าน และทำตามวิธีที่พระโพธิสัตว์บอกทันที โดยถือยาที่ปรุงพิเศษเข้าไปหาภรรยา แล้วกล่าวว่า “เธอจงกินยานี้เสีย โรคจะได้หาย” นางถามกลับไปว่า “ใครบอกสูตรปรุงยานี้แก่ท่าน” พราหมณ์บอกว่า “อาจารย์ของฉันเอง” นางพราหมณีจึงกล่าวว่า “เอายานี้ไปทิ้งเสีย ถึงอย่างไรฉันจะไม่ยอมกินอย่างเด็ดขาด” พราหมณ์ก็บอกนางว่า “ต่อแต่นี้ไป เธอจะทำอะไรตามใจชอบไม่ได้อีกแล้ว” จากนั้นก็เงื้อหวายขึ้นพร้อมกับขู่นางว่า “เธอจงรีบกินยาเสีย ถ้าไม่เช่นนั้น จงรีบลุกขึ้นมาทำการงาน หากป่วยจริงต้องกินยา ถ้าไม่กินยาก็ต้องลุกขึ้นมาทำงาน” นางเห็นท่าทางเอาจริงของสามี จึงเกิดความกลัว รีบลุกขึ้นจากที่นอน และตั้งแต่นั้นมา ก็กกลับเนื้อกลับตัวใหม่ ไม่ประพฤตินอกใจสามีอีกต่อไป

ฝ่ายอุบาสก ครั้นทราบนัยที่พระบรมศาสดาทรงตรัสเล่าให้ฟัง จึงรู้ว่าภรรยาของตัวเองมีชู้ แล้วแสร้งทำเป็นเจ็บป่วย เมื่อฟังธรรมจบแล้ว จึงกลับไปจัดการกับภรรยา เหมือนพราหมณ์จัดการกับนางพราหมณี ฝ่ายภรรยารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เปิดเผยความชั่วร้ายของตนเสียแล้ว จึงกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ตั้งใจทำหน้าที่ของศรีภรรยาเหมือนเดิม

เราจะเห็นได้ว่า การประพฤตินอกใจไม่ดีเลย ทำให้ต้องผิดศีลข้อ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องไปอบาย การใช้ชีวิตคู่ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่มีความรักความจริงใจต่อกันแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจะไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง การหลอกลวงกันเพราะกิเลสบังตา ทำให้นอกใจคู่ครองของตัวเอง ซึ่งหลอกกันได้ไม่นาน เพราะความลับไม่มีในโลกสำหรับผู้ที่ทำความชั่ว ไม่ช้าสิ่งที่ปกปิดเอาไว้จะถูกเปิดเผย แล้วความร้าวฉานในครอบครัวจะบังเกิดขึ้น ดังนั้น การใช้ชีวิตคู่ ถ้าจะให้เป็นคู่สร้างคู่สม จะต้องมาสร้างบารมีด้วยกัน มีรสแห่งธรรมเสมอกัน คือ มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลและทิฐิเสมอกัน ชีวิตคู่จึงจะราบรื่นและมีความสุข ได้เป็นคู่บุญคู่บารมีที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ไม่มีความคิดเห็น: