วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

เห็นอริยสัจขจัดทุกข์

ตามธรรมดา เมื่อยังไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งในอริยสัจ สรรพสัตว์ก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จบสิ้น เหมือนเมื่อยังมองไม่เห็นฝั่ง ผู้ที่ตกอยู่ในท้องทะเล ก็ย่อมว่ายวนอยู่ในห้วงทะเลนั้นโดยไม่มีจุดหมาย ชาวโลกทั้งหลายยังขาดเข็มทิศชีวิตที่จะนำพาตนไปสู่จุดหมายปลายทาง คืออายตนนิพพาน ต่อเมื่อได้ต้นทางคือดวงปฐมมรรค ด้วยการหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จึงจะได้เข็มทิศชีวิตนำทางไปสู่อายตนนิพพาน ซึ่งเป็นที่ที่ปราศจากความทุกข์ มีแต่บรมสุขอย่างเดียว พวกเราทุกคนที่ปรารถนาเข็มทิศชีวิต ที่จะนำทางไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งกัน แล้วความสำเร็จก็จะบังเกิดกับเราทุกๆ คน

มีพระพุทธพจน์ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ความว่า

ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ , ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ, ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพํ, ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํ

อริยสัจคือทุกข์ อันเราพึงกำหนดรู้ อริยสัจคือทุกขสมุทัย อันเราพึงละ อริยสัจคือทุกขนิโรธ อันเราพึงทำให้แจ้งอริยสัจคือปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์อันเราพึงบำเพ็ญ”

*มก. ปฐมตถาคตสูตร เล่ม ๓๑/๔๒๐

*แม่บทหรือแก่นแห่งคำสอนที่สำคัญของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจสี่ เป็นหลักธรรมที่เราควรศึกษาและประพฤติปฏิบัติกันให้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ที่ท่านหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ก็เพราะพิจารณาเห็นความจริงอันประเสริฐคืออริยสัจสี่นี่แหละ ซึ่งหลวงพ่อจะค่อยๆ อธิบาย ให้ลูกๆ ได้เข้าใจกันไปทีละข้อ โดยเริ่มตั้งแต่ข้อแรก คือ ทุกข์

ถ้าจะเปรียบทุกข์กับโรค ทุกข์ก็คือสภาพที่ป่วยเป็นโรค ทุกคนในโลกนี้ล้วนแต่มีความทุกข์กันทั้งนั้น เหมือนกับคนป่วย ที่ไม่รู้ว่าป่วยจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ และจะรักษาให้หายได้อย่างไร ฉะนั้น เราจึงต้องมาศึกษากันให้เข้าใจ จะได้รู้ว่าที่เรามีทุกข์อยู่ทุกวันนี้ มีสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะได้รีบปฏิบัติให้หลุดพ้นจากทุกข์กัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์ จะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นพระราชามหากษัตริย์ หรือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม แม้ที่สุดเป็นพระภิกษุก็มีทุกข์ทั้งนั้น ต่างแต่ว่ามากหรือน้อย และมีปัญญาพอที่จะแก้ไขหรือไม่เท่านั้นเอง

พระพุทธองค์ได้ทรงแยกแยะให้เราเห็นว่า ความทุกข์นี้มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ ทุกข์ประจำ เป็นความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นสภาพธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ต้องเจ็บและต้องตาย พระองค์ทรงเห็นแจ้งแล้วด้วยพระพุทธญาณ และชี้ให้เราเห็นว่าการเกิดนั่นแหละเป็นทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอจะคลอดก็ถูกความทุกข์บีบคั้น เพราะฉะนั้น เมื่อคลอดออกมาแล้ว สิ่งแรกที่เด็กทำคือร้องไห้จ้าจนสุดเสียง เพราะความเจ็บปวดและการเกิดนี่เองที่เป็นต้นเหตุ เป็นที่มาของความทุกข์อื่นๆ อีกมากมาย ถ้าเลิกเกิดได้เมื่อไหร่ ก็เลิกทุกข์เมื่อนั้น

อย่างที่สองคือทุกข์จร เป็นทุกข์ที่เกิดจากใจที่เสื่อมคุณภาพ ไม่อาจอดทนต่อเหตุการณ์หรืออารมณ์ภายนอกที่มากระทบได้ ทุกข์จรนี้ ก็ได้แก่ ความโศกเศร้าเสียใจ ความกระวนกระวายใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความท้อแท้เบื่อหน่าย ความอาลัยอาวรณ์ ความขุ่นข้องหมองใจ เสียใจจากการประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก โศกเศร้าเมื่อพลัดพรากจากของรัก ความหม่นหมองจากการที่ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น แต่โดยสรุปเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้น ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ยึดติดอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของนั่นเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเหมือนแพทย์ผู้ชำนาญโรค สามารถแยกแยะอาการของโรคให้เราดูได้อย่างละเอียดชัดเจนอย่างนี้

สมุทัย ก็คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย มนุษย์ทั่วไปหาสาเหตุของความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆ นานา เช่นว่า เป็นการลงโทษของพระเจ้าผู้สูงสุดบ้าง ของผีสางนางไม้บ้าง แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นแจ้งว่า ที่เรามีทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ สาเหตุมาจากกิเลสที่อยู่ในใจ ได้แก่ตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง อยากให้คนยกย่องชื่นชม สรุปก็คืออยากได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ อารมณ์ที่น่าพอใจ ที่ทำให้เราติดอยู่ในกามภพ ส่วนภวตัณหาก็นำไปสู่การติดอยู่ในรูปภพ และวิภวตัณหานำไปสู่การติดในอรูปภพ ความอยากเหล่านี้แหละ ที่ทำให้ติดอยู่ในภพทั้งสาม

นิโรธ คือความดับทุกข์ หมายถึงสภาพใจที่หมดกิเลสแล้วทำให้หมดตัณหาความทะยานอยาก เมื่อหมดอยากก็หมดทุกข์มีใจหยุดนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย มีแต่ความสุขล้วนๆ เนื่องจากมนุษย์ปฏิบัติไม่ถูกทาง จึงไม่ทราบว่าความดับทุกข์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ก็ได้แต่สมมุติกันขึ้นมา เช่นว่าการได้ไปอยู่บนสวรรค์กับพระผู้สร้างจะทำให้หมดทุกข์ได้ เหมือนคนหิวข้าวแล้วก็สร้างมโนภาพว่า อีกหน่อยจะมีผู้วิเศษเอาข้าวมาให้ ก็พอจะปลอบใจตัวเองไปได้บ้าง แต่ความจริงนั้น แม้จะได้บังเกิดในเทวโลกหรือพรหมโลกก็ตาม ก็ยังต้องเป็นทุกข์อยู่ดี จะหมดทุกข์ได้อย่างแท้จริง ต้องหมดกิเลสเข้าสู่อายตนนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น

มรรค คือวิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ผู้ที่นิยมนับถือเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มองเหตุแห่งทุกข์เหล่านี้ไม่ออก จึงเชื่อว่าเป็นการลงโทษของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง แต่พระพุทธองค์ทรงเห็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ชัดเจน แล้วก็ตรัสสอนว่า ที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะมีตัณหา ซึ่งเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่ทำให้โรคร้ายลุกลาม ถ้าต้องการหายจากโรค ก็ต้องกำจัดเชื้อโรคนั้นให้หมดไป พระองค์ทรงชี้แนะหนทางคือมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเปรียบเสมือนยารักษาโรค เป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้ใจหยุดใจนิ่ง และหลุดพ้นจากเชื้อโรคคือกิเลส โดยอาศัยการฝึกจิตตามหลักพุทธวิธีนั่นเอง

เมื่อเราได้ฟังเรื่องอริยสัจสี่กันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็พอจะรู้แล้วว่า ทุกข์มีอะไรบ้าง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ เราได้รู้วิธีดับทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์หรือการฆ่ากิเลสซึ่งเป็นเหมือนเชื้อโรคร้าย แต่นี่ยังไม่เรียกว่าเห็นอริยสัจสี่ เป็นแต่เพียงรู้จำอริยสัจสี่ได้เท่านั้น จะเห็นอริยสัจได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเข้าถึงพระธรรมกายแล้วเท่านั้น

การเห็นอริยสัจสี่แปลกกว่าการเห็นอย่างอื่น คือเมื่อเห็นแล้วจะสามารถทำได้ด้วย เช่น เห็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ว่าเกิดจากตัณหา ก็จะเห็นว่าตัณหาควรละ และต้องอาศัยนิโรธเป็นตัวดับตัณหา นิโรธแปลว่าดับหรือหยุด คือหยุดจากความทะยานอยากในตัณหาทั้ง ๓ อย่างเหล่านั้น เมื่อใจหยุด มรรคจึงเกิด ปฐมมรรคที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นดวงกลมใสอยู่ภายใน นั่นแหละคือต้นทางไปสู่เส้นทางที่ไม่ต้องเกิด เพราะเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน

การเห็นอริยสัจสี่นี้ เมื่อเห็นข้อใดข้อหนึ่ง ข้อที่เหลือก็จะเห็นไปตามลำดับ เช่น เมื่อเห็นทุกข์ ก็จะเห็นสมุทัย นิโรธ มรรค เห็นตลอดหมด เพราะไม่ใช่การเห็นด้วยตาหรือการนึกคิด แต่เป็นการเห็นด้วยญาณทัสนะของพระธรรมกาย ผู้ที่สามารถเห็นอริยสัจสี่ได้ คือพระอริยบุคคลและผู้ที่ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้ศึกษาจนเชี่ยวชาญในวิชชาธรรมกาย

เมื่อเราได้เข้าถึงพระธรรมกาย เห็นอริยสัจสี่ด้วยญาณทัสนะของพระธรรมกาย เราก็จะเข้าใจความจริงของชีวิตว่ามีแต่ทุกข์ ที่ว่าสุขนั้นแท้ที่จริงก็คือ ช่วงเวลาที่ความทุกข์ลดน้อยลงเท่านั้นเอง เราจะเข้าใจถึงคุณค่าของบุญกุศล เห็นโทษภัยของบาปอกุศล เป็นความเข้าใจในระดับลึกที่มีสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ นอกจากเห็นทุกข์แล้ว ยังรู้วิธีขจัดทุกข์ว่าต้องหยุดการทำบาปอกุศล และหยุดใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นที่เกิดของปฐมมรรค เมื่อมรรคเกิดขึ้นแล้ว ผลก็จะเกิดขึ้นตามมา กระทั่งได้บรรลุโสดาปัตติผลเรื่อยไปจนถึงอรหัตผล นี่คือเป้าหมายหลักของทุกชีวิต ที่ต้องมุ่งไปที่กายธรรมอรหัต ถึงกายธรรมอรหัตเมื่อไหร่ ก็หยุดการเวียนว่ายตายเกิดเมื่อนั้น


ไม่มีความคิดเห็น: