วันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑

ศาสตร์รู้ใจคน

ชาวโลกส่วนมากมักจะคิดว่าทรัพย์ บริวาร อำนาจ ความเป็นใหญ่ เครื่องประดับ สามีภรรยาและบุตรธิดาเป็นต้น จะทำให้มีความสุขแต่ก็ต้องผิดหวังกับสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ยังตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง จึงต้องเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องมีการแสวงหาใหม่ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เที่ยงแท้ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ความสุขล้วนๆ และเป็นตัวตนที่แท้จริงซึ่งสิ่งนี้จะได้มาต้องหยุดใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะตรงนี้ เป็นศูนย์รวมของความสุขความบริสุทธิ์ เมื่อหยุดใจไว้ตรงนี้ได้ถูกส่วน ดวงธรรมภายในก็จะชัดใสสว่าง ซึ่งเป็นประดุจประทีปส่องนำทางไปสู่อายตนนิพพาน ที่ปราศจากทุกข์มีแต่บรมสุขอย่างเดียวเท่านั้น การแสวงหาที่ถูกจุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ มีความมหัศจรรย์อย่างนี้ ดังนั้นให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติธรรม หมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง ทำใจให้สงบ แล้วจะพบทางสว่าง พบทางมรรคผลนิพพานกันทุกๆ คน

มีพระพุทธพจน์ใน ขัตติยาธิปปายสูตร ความว่า

ขตฺติยา โข พฺราหฺมณ โภคาธิปฺปายา ปญฺญูปวิจารา พลาธิฏฺฐานา ปฐวีอภินิเวสา อิสฺสริยปริโยสานา

ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดากษัตริย์ทั้งหลายย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร ต้องการครอบครองแผ่นดิน มีความเป็นใหญ่เป็นเป้าหมายสูงสุด”

พุทธพจน์บทนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่า พระบรมครูของเรานั้นทรงรู้แจ้งโลก ทั้งเรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีต เรื่องที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบันหรือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้กระทั่งเรื่องนิพพานภพสามตลอดถึงโลกันต์ ก็ทรงรู้แจ้งหมด แต่ในฐานะที่เรายังต้องอาศัยอยู่ในสังคม จะต้องพบปะเจอะเจอกับผู้คนต่างๆ ทั้งระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง จึงจำเป็นจะต้องรู้จักศึกษาอัธยาศัยของผู้อื่นไว้ให้ดี แม้ว่าเราจะไม่รู้แจ้งอัธยาศัยเหล่าสัตว์เหมือนพระบรมศาสดา แต่ก็ให้เรา หมั่นศึกษาและฝึกสังเกตเอาไว้ เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง ชนิดที่เรียกว่า เมื่อแรกพบก็ประทับใจ เมื่อจากไปก็ระลึกนึกถึง ดั่งคำสอนที่ว่า เมื่อจะไปเฝ้าพระราชา ไปหาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไปหาตุลาการ แม้กระทั่งไปหาหญิงสาว อย่าได้ไปมือเปล่าต้องมีของฝากติดมือไปด้วย แล้วเราจะชนะใจเขาตั้งแต่แรกพบ สรุปก็คือให้ใช้สังคหวัตถุสี่เข้าหานั่นเอง

วันนี้หลวงพ่อมีเรื่องเกี่ยวกับศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาอัธยาศัยของมนุษย์ ที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วโลก แต่มีสอนอยู่เฉพาะในสถาบันพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคตรัสสอนเอาไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง

*มก. ขัตติยาธิปปายสูตร เล่ม ๓๖/๖๘๗

*สมัยหนึ่ง ชาณุสโสณิพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว ก็นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นก็ทูลถามปัญหาว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ กษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพยากรณ์ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดากษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในกำลังทหาร ต้องการครอบครองแผ่นดินมีความเป็นใหญ่เป็นเป้าหมายสูงสุด”

พอสิ้นกระแสพระดำรัส ชาณุสโสณิพราหมณ์ก็อัศจรรย์ใจในคำพยากรณ์ที่ค้างคาใจมานาน บัดนี้ความสงสัยในปัญหานั้น ได้พลันหายไป และกลับได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาแทน จึงได้ทูลถามต่อไปว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในมนต์ ต้องการบูชายัญ มีพรหมโลกเป็นเป้าหมายสูงสุด”

ชาณุสโสณิพราหมณ์ฟังแล้วก็ปิติใจในคำพยากรณ์เป็นอย่างมาก จึงทูลถามต่อว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็คฤหบดีทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ทรงตอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาคฤหบดีทั้งหลาย ย่อมประสงค์โภคทรัพย์ นิยมปัญญา มั่นใจในศิลปะ ต้องการหน้าที่การงาน มีความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นเป้าหมายสูงสุด”

จากนั้นพราหมณ์ก็ทูลถามเรื่องสตรีว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สตรีทั้งหลาย ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ธรรมดาสตรี ย่อมประสงค์บุรุษ นิยมเครื่องแต่งตัว มั่นใจในบุตร ต้องการครอบครองสามีแต่เพียงผู้เดียว มีความเป็นใหญ่ในบ้านเป็นเป้าหมายสูงสุด”

พราหมณ์ทูลถามต่อว่า “แล้วพวกโจรล่ะพระเจ้าข้า ย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมดาโจรย่อมประสงค์ลักทรัพย์ของผู้อื่น นิยมที่ลับเร้น มั่นใจในศาสตราต้องการที่มืด ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นตนเป็นเป้าหมายสูงสุด”

ปัญหาข้อสุดท้ายพราหมณ์ได้ทูลถามเรื่องของสมณะว่า “แล้วสมณะทั้งหลายเล่า พวกท่านย่อมประสงค์ นิยม มั่นใจ ต้องการ และมีอะไรเป็นเป้าหมายสูงสุด พระเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ ธรรมดาสมณะทั้งหลาย ย่อมประสงค์ขันติโสรัจจะ นิยมปัญญา มั่นใจในศีล ต้องการความไม่มีกังวล มีพระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด”

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพยากรณ์ปัญหาทั้งหกข้ออย่างชัดแจ้ง เหมือนหงายของที่ควํ่า เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง และส่องประทีปในที่มืด จนทำให้ชาณุสโสณิพราหมณ์ไม่สามารถเก็บความปลื้มปีติไว้ได้ ถึงกับต้องเปล่งอุทานว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เรื่องไม่เคยมีได้มีแล้ว ท่านพระโคดมผู้เจริญ ย่อมทรงทราบ ความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการและเป้าหมายสูงสุด ของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สตรี โจร แม้กระทั่งของสมณะ พระองค์ก็ทรงทราบ ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด”

จากคำพยากรณ์ทั้ง ๖ ข้อนี้ ทำให้เราได้รู้ถึงอัธยาศัยของบุคคลในแต่ละกลุ่มนี้แล้ว ซึ่งตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการ และเป้าหมายสูงสุด ทั้งที่เป็นของกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สตรี และของโจร ยังเป็นความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังแสวงหาความสุขจากโลกียทรัพย์ ติดอยู่ในคน สัตว์ สิ่งของ อันตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ คือเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ยังเป็นทุกข์อยู่ในคุกคือภพสามอีก ยิ่งถ้าเป็นโจรที่ต้องไปลักขโมยไปปล้นจี้ทรัพย์ของผู้อื่น บางครั้งอาจต้องถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์ นับว่าเป็นการทำบาปอย่างมหันต์ อันจะส่งผลให้ต้องไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิอีกนานแสนนาน

แต่สำหรับความประสงค์ ความนิยม ความมั่นใจ ความต้องการ และเป้าหมายสูงสุดของสมณะในบวรพระพุทธศาสนาเป็นบทสรุปความรู้ของผู้ที่มีความรู้สมบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อการแสวงหาสิ่งที่ไม่ตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ทั้งในโลกนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะจากโลกนี้ไปแล้ว ก็เป็นที่พึ่งให้กับเราได้ จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกให้กับเราจนกว่าจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์เข้าสู่อายตนนิพพาน

ฉะนั้น ความรู้เรื่องความเป็นจริงของชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องแสวงหา เพราะการเกิดของมนุษย์ทุกๆ คนนั้น ก็เพื่อแสวงบุญสร้างบารมี มุ่งกำจัดกิเลสอาสวะ เพื่อมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานและที่สุดแห่งธรรม จะได้เลิกการเวียนว่ายเกิด ไปเสวยสุขในอายตนนิพพานอันเป็นบรมสุขที่ไม่มีสุขอื่นใด จะสามารถเปรียบเทียบได้

ไม่มีความคิดเห็น: